|
|
สาระสำคัญหลักกฎหมายวิชารัฐธรรมนูญ
พธูทิพย์ สว่าง นบ. (จุฬาฯ) , นบท. สาระสำคัญตาม มาตรา 264 เราสามารถเเยกพิจารณาเบื้องต้น เป็น 2 กรณี คือ
บัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือเเย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันบังคับใช้มิได้
ความโต้เเย้งว่าบทบัญญัติเเห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 6 เเละยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้นให้ศาลรอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว เเละส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าคำโต้เเย้งของคู่ความตามวรรคหนึ่งไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาก็ได้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง เเละไม่กระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด หลัก หากเป็นกรณี มาตรา 264 คงต้องพิจารณา คำว่า บทบัญญัติเเห่งกฎหมาย ให้ได้ เสียก่อนว่า เรื่องที่โต้เเย้งนั้น เป็นบทบัญญัติเเห่งกฎหมายหรือไม่ หาก มิใช่บทบัญญัติเเห่งกฎมายเสียเเล้วก็มิสามารถส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 264 ได้
หลักเกณฑ์ต่างๆ ตามมาตรา 264
หากพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติขององค์กรท้องถิ่น ฯลฯ ที่มีศักดิ์ต่ำกว่าบทบัญญัติเเห่งกฎหมาย ถือเป็นกฎหมายของฝ่ายบริหาร ไม่ใช่กฎหมายในความหมายของรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยที่ 4/2542 เรื่องประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดของธนาคารพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เเละ ประกาศธนาคารเเห่งประเทศไทย เรื่องการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฎิบัติในเรื่องดอกเบี้ยเเละส่วนลด ลงวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ 2536 ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 6 หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ประกาศของธนาคารพาณิชย์ เป็นประกาศของธนาคารพาณิชย์ มิใช่ประกาศทางราชการ ส่วนประกาศธนาคารเเห่งประเทศไทยนั้นมิได้ออกโดยองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ มีผลใช้บังคับได้เท่าที่อยู่ในขอบเขตอำนาจที่พระราชบัญญัตให้อำนาจไว้ จึงไม่เป็นกฎหมายตามความหมายของรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยที่ 3/2544 จำเลยที่ 3 ในคดีอาญา ข้อหามีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งธนาบัตรต่างประเทศปลอม อันตนรู้อยู่เเล้วว่าเป็นของปลอมเเละข้อหาฉ้อโกง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า พ.ร.บ ราชทัณฑ์ พ.ศ 2479 มาตรา 4(2) เเละ 14(1) (5) ซึ่งให้อำนาจเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ปฏิบัติต่อผู้ต้องขังที่ศาลยังมิได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดได้เช่นเดียวกับผู้ต้องขังศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดเเล้ว ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 4 เเละ มาตรา 30 , 33 ศาลวินิจฉัยว่า เมื่อ ศาลยุติธรรมมิได้ใช้ พ.ร.บ ราชทัณฑ์ พ.ศ 2479 บังคับเเก่คดีตามคำร้องเเล้ว พ.ร.บ ราชทัณฑ์ฯ จึงมิใช่บทบัญญัติเเห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับเเก่คดี กรณีจึงไม่ต้องด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 264 คำวินิจฉัยที่ 623 /2543 ศาลวินิจฉัยว่า หากคดีถึงที่สุดเเล้ว ย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอีกต่อไป เพราะเเม้ส่งไปเเละศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ ก็ไม่อาจกระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดเเล้ว อย่างไร ก็ตาม มีคำวินิจฉัยที่ 34-53 /2543 ที่ศาลรับวินิจฉัยให้เเม้คดีถึงที่สุดเเล้วเเต่ยังมีกรณีข้อพิพาทเกิดขึ้นในชั้นบังคับคดี ศาลวินิจฉัยว่า ตาม ป.วิ.พ ม. 148 (1) เเละ 302 เเสดงว่า ในชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งยังมีการวินิจฉัยชี้ขาดได้ ตาม ม. 286 วรรคหนึ่ง (3) จึงเป็นบทบัญญัติที่ศาลจะใช้บังคับเเก่คดี เเละคดีนี้ไม่ว่าศาลจะรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิฉัยอย่างไร คำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดเเล้วก็มิได้ถูกกระทบกระเทือน เพราะจำเลยยังคงต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษา
คำวินิจฉัยที่ 5/2541 ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 264 หมายความว่า ให้ศาลเท่านั้นเป็นผู้ส่งความเห็นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัยมิได้ให้สิทธิผู้ร้องหรือคู่กรณีเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง ( คำวินิจฉัยดังกล่าว เป็นกรณีที่อยู่ในศาลเเล้ว หากถ้ายังมิได้มีคดีความกันในศาล คู่ความอาจส่งเรื่องให้ผู้ตรวจการเเผ่นดินของรัฐสภาได้ ) ถ้าเป็นกรณีคำร้องเคลือบคลุมหรือไม่เข้าองค์ประกอบมาตรา 264 ศาลไม่จำต้อง ส่ง เเละผู้ร้องมีสิทธิ์อุทธรณ์ฎีกาได้ตามลำดับชั้นศาล ในคำสั่งศาลที่ไม่รับคำร้องของตน หรืออาจยื่นคำร้องเข้ามาใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ คำวินิจฉัยที่ 623/2543 เเม้ รัฐธรรมนูญ ม. 264 ว. 2 ระบุให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้พิจารณาว่าคำโต้เเย้งของคู่ความตามวรรคหนึ่ง ที่ไม่เป็นสาระเเก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาก็ตาม เเต่ในกรณีที่จะต้องพิจารณาว่าเรื่องดังกล่าวเข้าเหตุตามมาตรา 264 ว. 1 หรือไม่ ย่อมเป็นหน้าที่ของศาลยุติธรรม การที่ศาลชั้นต้นเเละศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่รับคำร้องของจำเลยไว้พิจารณา เพราะคดีถึงที่สุด ล่วงเลยเวลาที่จะดำเนินการตามบทบัญญัติมาตรา 264 ว. 1 จึงเป็นอำนาจที่จะกระทำได้
สาระสำคัญ ของมาตรา 198 เป็นการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญโดยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ซึ่ง เเยกออกเป็น 2 กรณี คือ
ข้อสังเกต ผู้ตรวจการเเผ่นดินของรัฐสภาจะส่งเรื่องในกรณีที่ยังไม่ได้มีกรณีหรือข้อพิพาทกันในศาล
สาระสำคัญของมาตรา 266 เป็นเรื่องปัญหาเกี่ยวกับองค์กรต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ โดยเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในการควบคุมตรวจสอบให้มีการดำเนินการต่างๆขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ มาตรา 266 มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
คำวินิจฉัยที่ 63/2543 พิจารณาเเล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช เป็นองค์กรที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้มีขึ้นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 297 มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 301 จึงเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติให้มีขึ้นเเละบัญญัติอำนาจหน้าที่ไว้ในรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยที่ 2/2541 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยหรือกระทรวงมหาดไทยเป็นส่วนหนึ่งในหน่วยงานหนึ่งของฝ่ายบริหาร หาใช่องค์กรตามรัฐธรรมนูญเเต่อย่างใด กระทรวงมหาดไทยจึงไม่อาจร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาโดยอาศัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 266 ได้ ( ราชการส่วนกลาง , ราชการส่วนภูมภาค, ส่วนท้องถิ่น พรรคการเมือง ไม่ถือว่าเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ )
เป็นการเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญก่อนมีการประกาศใช้เป็นกฎหมาย กล่าวคือ เป็นการควบคุมมิให้ร่างกฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภาขัดต่อรัฐธรรมนูญ นอกเหนือจากการที่มีการควบคุมหลังมีการประกาศใช้กฎหมาย ซึ่งเป็นการควบคุมในกรณีที่มีปัญหาว่ากฎหมายนั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจมีการโต้เเย้งผ่านทางศาลที่พิจารณาคดี หรือ ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเป็นผู้เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย หลักเกณฑ์ มาตรา 262
ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้เเทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภาเเล้วเเต่กรณี
- นายกรัฐมนตรีเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติ หรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ มีข้อความหรือกระบวนการตราขัดหรือเเย้งต่อรัฐธรรมนูญ ให้ส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย เเละเเจ้งให้ประธานสภาผู้เเทนราษฎร เเละประธานวุฒิสภาทราบโดยไม่ชักช้า
4.1 ข้อความที่ขัดหรือเเย้งต่อรัฐธรรมนูญ - ถ้าเป็นสาระสำคัญ = ตกทั้งฉบับ
สาระสำคัญของมาตรา 218 , 219 เป็นเรื่องที่พระราชกำหนดไม่เป็นไปตามมาตรา 218 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญ ปกติเเล้วการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของพระราชกำหนดโดยศาลรัฐธรรมนูญนั้น อาจเกิดขึ้นได้ 2 กรณี 1. กรณีทั่วไป คือ การควบคุมกฎหมายไม่ให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญโดยศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตามที่ศาลเป็นนผู้เสนอในมาตรา 264 หรือผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเป็นผู้เสนอตามมาตรา 198 2.กรณีพิเศษ คือ มาตรา 219 ที่เป็นเรื่องการโต้เเย้งว่าพระราชกำหนดไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 218 วรรคหนึ่ง หากพิจารณา ตามมาตรา 218 เเล้วเงื่อนไขในการออกพระราชกำหนด นั้นประกอบด้วย 2 เงื่อนไข คือ
หลัก คือ ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบได้เฉพาะว่าพระราชกำหนดตราขึ้นถูกต้องตามเงื่อนไขใน ข้อที่ 1. ตามมาตรา 218 วรรคหนึ่ง เท่านั้น ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัยเงื่อนไขประการที่ 2 ได้ ที่ว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้หรือไม่ ( คำวินิจฉัยที่ 1/2541 ) |