|
|
มาตรา 265 ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท*** เอกสารราชการ มาตรา 1 ( 8 ) หมายความว่า เอกสารซึ่งเจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่ และให้หมายความรวมถึงสำเนาเอกสารนั้นๆ ที่เจ้าพนักงานได้รับรองในหน้าที่ด้วย เอกสารที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้นเช่น บัตรประจำตัวประชาชน (ฎ.317/2521) ใบเสร็จรับเงินค่าภาษีรถยนต์ (ฎ.1831/2522) ใบประกาศนียบัตร (ฎ.2479/2522)บัตรประจำตัวข้าราชการ (ฎ.2999/2522) ทะเบียนบ้านและสำเนาทะเบียนบ้าน (ฎ.100/2523) แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ (ฎ.2241/2523,4492/2536) สำเนาป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีรถยนต์ (ฎ.1824/2529,3195/2536) หนังสือเดินทางของกระทรวงการต่างประเทศ (ฎ.3942/2529) ใบสำคัญทะเบียนทหาร สำเนาทะเบียนคนเกิด (ฎ.5969/2530) หนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก) เป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ (ฎ. 2684/2531) ใบอนุญาตขับรถยนต์ ( ฎ.4772/2536)หลักเขตที่ดิน( ฎ. 7362/2538) คู่มือการจดทะเบียนรถยนต์ (ฎ.3325/2530) หนังสือรับรองราคาที่ดิน( ฎ.2684/2530) *** เอกสารสิทธิ มาตรา 1(9) หมายความว่า เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอนสงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ เช่น หนังสือสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาจะซื้อขาย สัญญาเช่า ใบรับหรือใบมอบฉันทะให้รับเงินฝากธนาณัติ หนังสือสัญญาจะจ่ายเงินสินบนนำจับให้แก่ผู้รับสินบน ใบเสร็จรับเงินของห้างร้าน แบบแจ้งการครอบครอง ส.ค. 1 บิลส่งของซึ่งผู้รับของลงชื่อรับของแล้ว สลากกินแบ่งรัฐบาล ตั๋วแลกเงินตั๋วสัญญา ใช้เงินเช็ค เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งสิทธิจะต้องเป็นเอกสารที่แสดงให้เห็นสิทธินั้นโดยตรงในตัวเอกสารนั้นเอง (ฎ.2346/2527) เช่นโฉนดที่ดิน สัญญาเช่าซื้อ ตั๋วเงิน ทะเบียนสมรสเป็นเพียงเอกสารที่รับรองสถานะของบุคคลเท่านั้น ในตัวเอกสารนั้นไม่ได้ก่อตั้งสิทธิขึ้นมา จึงไม่เป็นเอกสารสิทธิ**บัตรประจำตัวประชาชน (ฎ.4766/38) หนังสือเดินทาง ใบสำคัญต่างด้าวก็ เป็นเอกสารที่แสดงถึงฐานะบุคคล เป็นการแสดงข้อเท็จจริงว่าเราชื่ออะไร เราเป็นคนต่างด้าวหรือไม่ มีสิทธิที่จะเดินทางไปต่างประเทศได้หรือไม่ ไม่ใช่เอกสารที่จะก่อตั้งสิทธิขึ้นมา จึงไม่เป็นเอกสารสิทธิ คำพิพากษาฎีกาที่ 928/2506 คำร้องทุกข์ของผู้เสียหาย ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีอาญาซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 123 แก่เป็นแต่คำบอกกล่าวพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดี ไม่เป็นหลักฐานแห่งการก่อตั้งสิทธิ ไม่เป็นเอกสารสิทธิ **บัตรอนุญาตให้ผ่านเข้าไปในสถานที่เป็นเอกสารที่แสดงว่าผู้รับบัตรได้รับอนุญาตให้เข้าออกสถานที่ได้เท่านั้น ไม่ก่อให้เกิดสิทธิ ไม่เป็นเอกสารสิทธิ (ฎ.2639-2612/2517) คำพิพากษาฎีกาที่ 879/2510 เอกสารที่จำเลย ปลอมและใช้ มีข้อความว่า ส. ไม่ได้สมรสตามกฎหมายกับ ฉ. ส. ไม่เกี่ยวข้องคัดค้านหรือขัดข้องในการที่ทางราชการจะจ่ายบำเหน็จของ ฉ. ข้อความดังกล่าวเป็นการทำให้สิทธิของ ส. ที่จะรับบำเหน็จในฐานะเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของ ฉ. ต้องระงับไป เอกสารดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานแห่งการระงับสิทธิของ ส. เป็นเอกสารสิทธิ คำพิพากษาฎีกาที่ 40/2507 ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ไม่ใช่เอกสารสิทธิแต่เป็นเอกสารราชการ คำพิพากษาฎีกาที่ 1107/2509 (ประชุมใหญ่) ใบแต่งทนายมีข้อความตามแบบพิมพ์ ไม่ใช่เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อเปลี่ยนแปลงโอนสงวนซึ่งสิทธิไม่ใช่เอกสารสิทธิ คำพิพากษาฎีกาที่ 890/2508 แบบ ส.ค. 1 เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐาน ว่าผู้แจ้งมีสิทธิครอบครองซึ่งตรงกับคำว่าสงวนสิทธิจึงเป็นเอกสารสิทธิ แต่ไม่ใช่เอกสารราชการเพราะเจ้าพนักงานไม่ได้ทำขึ้นคำพิพากษาฎีกาที่ 1508/2538 วินิจฉัยว่าตั๋วเครื่องบินที่มีมูลค่าหรือราคาใช้ตามปรากฏในตั๋วเป็นตั๋วที่ผู้มีชื่อในตั๋วมีสิทธิที่จะใช้โดยสารเครื่องบินของสายการบินที่ปรากฏในตั๋วเครื่องบิน จึงเป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อซึ่งสิทธิตาม ป.อาญามาตรา 1(9) เป็นเอกสารสิทธิ มาตรา 266 ผู้ใดปลอมเอกสารดังต่อไปนี้
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
คำพิพากษาฎีกาที่ 3102/2539 ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ไม่ปรากฏว่าหมายเลขคดีที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงตามที่อ้างถึงหมายเลขคดีที่นอกสารบบ หรือกระทำขึ้นโดยมิได้มีอยู่จริงหรือปราศจากอำนาจ ตรงกันข้ามเลขคดีที่อ้างถึงเป็นเลขคดีที่แก้ไข และใช้อยู่ในสารบบของทางราชการ การที่เกี่ยวข้องจริง จังเป็นหมายเลขคดีที่แท้จริง ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งเก้าปฏิบัติหรือละเว้นไม่ปฏิบัติต่อโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเหตุที่มีการร้องทุกข์อย่างไร อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคณะกรรการกฤษฎีกา พ.ศ.2522 มาตรา 70 การกระทำของจำเลยทั้งเก้าจึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162,165,264,265,266 และพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 มาตรา 70
คำพิพากษาฎีกาที่ 3894/2525 จำเลยกับพวกทำพินัยกรรมปลอมขึ้น แล้วส่งอ้างเป็นพยานต่อศาล แม้ลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ทำพินัยกรรมซึ่งมีพยานลงลายมือชื่อรับรองสองคนนั้นมีลักษณะลายเส้นเลอะเลือนจนผู้ชำนาญการ พิเศษตรวจพิสูจน์ลงความเห็นไม่ได้ก็มีสภาพเป็นพินัยกรรม แต่เป็นพินัยกรรมที่จำเลยกับพวกทำปลอมขึ้น เมื่อนำส่งอ้างเป็นพยานต่อศาลต้องมีความผิดฐานใช้พินัยกรรมปลอมอีกระทงหนึ่ง กรณีไม่ใช่การกระทำโดยมุ่งต่อผลซึ่งกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด แต่การกระทำการนั้นไม่บรรลุผลอย่างแน่แท้ตามมาตรา 81ปัญหามีว่า ถ้าพินัยกรรมทำผิดแบบตกเป็นโมฆะ จะปลอมพินัยกรรมดังกล่าวได้หรือไม่ ข้อนี้ อ.จิตติ ติงศภัทิย์ อธิบายว่า ถ้าปลอมพินัยกรรม แต่ถ้าพินัยกรรมนั้นผิดแบบอยู่ในตัว เช่นไม่มีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือครบถ้วนตามกฎหมาย ย่อมไม่เป็นเอกสารสิทธิแต่อาจเป็นปลอมเอกสารธรรมดาได้ข้อความนี้คงหมายความว่า ไม่ผิดฐานปลอมพินัยกรรม แต่อาจผิดฐานปลอมเอกสารธรรมดา กรณีที่จำเลยกับพวกอ้างส่งพินัยกรรมปลอมเป็นพยานต่อศาล แม้จำเลยจะได้กระทำในฐานะทนายความในคดีแพ่ง จำเลยก็มีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันใช้พินัยกรรมปลอมตามมาตรา 83
คำพิพากษาฎีกาที่ 2917/2538 จำเลยว่าจ้าง จ. จัดพิมพ์ใบหุ้นธนาคาร ม. และบริษัท พ. ซึ่งเป็นแบบฟอร์ม ยังไม่ได้กรอกข้อความ โดยเจตนาจะนำไปกรอกข้อความรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญ เพื่อใช้อย่างใบหุ้นที่แท้จริง ซึ่งต่อมาก็มีการกรอกข้อความดังกล่าว แล้วนำไปขายฝากที่บริษัท ว. ดังนี้แสดงว่าจำเลยมีส่วนรู้เห็นในการกรอกข้อความ จังเป็นตัวการในความผิดฐานปลอมใบหุ้น-อ. จิตติ ติงศภัทิย์ อธิบายว่า ใบหุ้นหรือใบสำคัญของใบหุ้น ต้องมีความสมบูรณ์ทำนองเดียวกับพินัยกรรม (คือมีข้อความครบด้วนตามที่กฎหมายกำหนด)
คำพิพากษาฎีกาที่ 1067/2507 การที่จำเลยลงลายมือชื่อปลอมลงในตั๋วแลกเงินของธนาคารออมสินนั้น เป็นการกระทำส่วนหนึ่งที่ต้องทำลงในเอกสารดังกล่าว เพื่อให้เอกสารนั้นสมบูรณ์ครบถ้วน เพื่อที่เจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินจะจ่ายเงินให้ และก็ทำให้เจ้าหน้าที่หลงเชื่อว่าเป็นผู้ทรงที่แท้จริง จึงได้จ่ายเงินให้จำเลยรับไป ดังนี้ ย่อมเป็นไปโดยประการที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้มีสิทธิรับเงินที่แท้จริงและแก่ธนาคารออมสินการกระทำของจำเลยผิดตามมาตรา 266(4) แต่การลงลายมือชื่อปลอมก็เพื่อให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สิน คือเงิน อันเป็นการกระทำส่วนหนึ่งในกรรมที่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ตามมาตรา 342 (1) จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงบทหนักตามมาตรา 90 แต่จำเลยไม่ผิดมาตรา 264 คำพิพากษาฎีกาที่ 1751/2515 จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ต่างลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินซึ่งเป็นแบบพิมพ์ที่องค์การเชื้อเพลิงจัดพิมพ์ขึ้น สั่งให้ธนาคารโจทก์สาขาพระโขนงจ่ายเงินแก่องค์การเชื้อเพลิง และจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายตั๋วแลกเงินตามแบบพิมพ์ของบริษัท ม. สั่งให้ธนาคารโจทก์สาขาพระโขนงจ่ายเงินแก่บริษัท ม. จำเลยที่ 4 ในฐานะผู้จัดการธนาคารสาขาพระโขนงได้ลงลายมือชื่อและประทับตรารับรองตั๋วแลกเงินทั้งหมดนี้ แล้วจำเลยอื่นนำตั๋วแลกเงินนี้ไปใช้ ดังนี้ การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ออกตั๋วแลกเงินโดยลงลายมือชื่อตนเป็นผู้สั่งจ่ายในนามของตนเองจึงเป็นตั๋วแลกเงินอันแท้จริงไม่ใช่ทำปลอมในนามของบุคคลอื่น หรือเจตนาจะให้เห็นว่าเป็นตั๋วแลกเงินของบุคคลอื่น ลายมือชื่อผู้รับรองตั๋วแลกเงินก็เป็นลายมือชื่ออันแท้จริงของจำเลยที่ 4 ซึ่งกระทำในฐานะผู้จัดการธนาคารโจทก์ สาขาพระโขนง ตามอำนาจที่ได้รับมอบหมายจากโจทก์ ตราที่ประทับก็เป็นตราที่แท้จริงของธนาคาร แม้จะผิดระเบียบภายในเพราะเงินที่รับรองนั้นเกินอำนาจและไม่มีสมุห์บัญชีหรือผู้รักษาเงินลงลายมือชื่อร่วมด้วย ก็หาทำให้ตั๋วแลกเงินซึ่งจำเลยที่ 4 รับรองนั้นเป็นตั๋วแลกเงินปลอมขึ้นมาไม่ การกระทำของจำเลยทั้งหมดไม่มีมูลความผิดตามมาตรา 264,265,266,268มาตรา 908 บัญญัติว่า อันว่าตั๋วแลกเงินนั้นคือหนังสือตราสารซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้สั่งจ่ายบุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้จ่ายให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่บุคคลหนึ่ง หรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลคนหนึ่งซึ่งเรียกว่าผู้รับเงิน คำพิพากษาฎีกาที่ 2617/2529 จำเลยเป็นพนักงานของโจทก์ร่วม มีหน้าที่ควบคุมดูแลบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ลักสมุดเช็คของโจทก์ร่วมไป 2 เล่ม ต่างวันกัน แล้วกรอกข้อความลงในบัญชีจ่ายเช็คว่า จ่ายให้ ม. ลูกค้าของโจทก์ร่วม และมอบเช็คให้บุคคลอื่นไปกรอกวันเดือนปี จำนวนเงิน ปลอมลายมือชื่อ ม. ผู้สั่งจ่ายแล้วนำไปขึ้นเงิน ดังนี้เป็นขั้นตอนที่จะให้สำเร็จผลดังเจตนาของจำเลยกับพวก ในการที่จะหลอกเอาเงินโจทก์ร่วม จำเลยมีความผิดตามมาตรา 335(11) 2 กระทง และเป็นตัวการร่วมกับผู้อื่นใช้ตั๋วเงินปลอมและฉ้อโกงโจทก์ร่วม สำหรับเช็คแต่ละฉบับที่นำไปขึ้นเงิน ซึ่งเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท คือมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 264,266(4) และมาตรา 341 ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264,266(4) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด เมื่อจำเลยและพวกนำเช็คปลอมไปขึ้นเงินรวม 25 ฉบับ จำเลยต้องมีความผิดทุกกรรมรวม 25 กรรม คำพิพากษาฎีกาที่ 1279/2519 ตั๋วแลกเงินหรือดราฟของธนาคารเป็นตั๋วเงินตามมาตรา 266 คำพิพากษาฎีกาที่ 492/2536 การแก้ไขวัน เดือน ปี และปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงกำกับการแก้ไขลงในเช็คเป็นความผิดตามมาตรา 266(4) คำพิพากษาฎีกาที่ 132-133/2536 โจทก์ร่วมยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ฐานกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ภายหลังโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้ และศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้แล้ว ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนกับของโจทก์ร่วมในคดีดังกล่าว ตามป.วิ.อาญา มาตรา 15ประกอบด้วย ป.วิ.แพ่ง มาตรา 173(1) และแม้การกรอกเช็คอันเป็นมูลที่โจทก์ร่วมนำมาฟ้องจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าว กับการใช้โฉนดที่ดินปลอมอันเป็นมูลที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยที่สองในคดีนี้ จะเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเพื่อฉ้อโกงโจทก์ร่วมเช่นเดียวกัน แต่คดีดังกล่าวโจทก์ร่วมขอถอนฟ้องและศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตไปแล้ว ถือไม่ได้ว่าศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้แล้ว ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องของโจทก์ร่วมในคดีดังกล่าวตาม ป.วิ. อาญา มาตรา 39(4) และการที่โจทก์ร่วมถอนฟ้องคดีดังกล่าวซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ ไม่มีผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ซึ่งมิใช่ความผิดอันยอมความได้ระงับไปตาม ป.วิ. อาญา มาตรา 39(2) ด้วยคำพิพากษาฎีกาที่ 3108-9/2533 การที่จำเลยขีดฆ่าและลบลายมือชื่อของจำเลยในเช็คพิพาททั้งห้าฉบับ เพื่อที่จำเลยจะไม่ต้องรับผิดชอบในฐานะผู้สลักหลังในเช็คแต่ละฉบับ แม้จะเป็นการกระทำในเวลาใกล้เคียงและต่อเนื่องกัน แต่ก็เห็นได้ว่าจำเลยจะทำเพียงฉบับเดียวหรือหลายฉบับก็ได้สุดแต่เจตนาของจำเลย เมื่อจำเลยกระทำต่อเช็คทั้งห้าฉบับจึงเป็นความผิด 5 กรรม ต่างกัน
ข้อสังเกต จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 268,252,267 แต่เป็นการกระทำเพื่อประสงค์ให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ และเป็นการกระทำต่อเนื่องเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 252 ซึ่งเป็นบทหนัก แต่การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันเอาโฉนดพิพาทซึ่งเป็นเอกสารสิทธิของผู้เสียหายไปในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย และเป็นการกระทำต่างกรรมกับที่จำเลยกระทำมาดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงต้องมีความผิดตามมาตรา 188 อีกกระทงหนึ่ง จำเลยที่ 1 ยึดถือโฉนดพิพาทไว้ก็เพื่อประสงค์กรรมสิทธิ์ในที่ดิน ไม่มีเจตนายักยอกโฉนดนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานยักยอกตามมาตรา 352 คำพิพากษาฎีกาที่ 4048/2528 การที่จำเลยเป็นคนสัญชาติญวน ไม่เคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านหลังหนึ่งเลยแล้วไปแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ควบคุมทะเบียนจดข้อความเท็จลงในทะเบียนบ้านอีกหลังหนึ่งว่าเป็นคนสัญชาติไทยย้ายมาจากบ้านที่จำเลยไม่เคยมีชื่ออยู่นั้น การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตาม ป.อาญามาตรา 267 คำพิพากษาฎีกาที่ 1807/2531 บริษัทจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการมอบอำนาจให้ ส. ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ขออายัดที่ดินหลายโฉนดของโจทก์โดยอ้างว่าเป็นลูกหนี้จำเลย ทั้งๆ ที่ ศาลฎีกาพิพากษาแล้วว่ามิได้เป็นลูกหนี้จำเลย จึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตเพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินผู้กระทำตามหน้าที่ จดข้อความเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์ใช้เป็นพยานหลักฐาน แม้ต่อมากรมที่ดินจะเห็นว่าจำเลยมิได้มีส่วนได้เสีย จึงไม่รับอายัดก็เป็นการกระทำโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์และประชาชนแล้ว จำเลยทั้งสามมีความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 137,267,83 การกระทำของนิติบุคคลย่อมแสดงให้ปรากฏโดยการกระทำของผู้แทนนิติบุคคลนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันกระทำการเพื่อจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็ต้องร่วมรับผิดในการกระทำนั้นด้วย คำพิพากษาฎีกาที่ 950/2537 การที่จำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า น.ส.3 ก. เลขที่ 2076 ของจำเลยที่เก็บไว้ที่บ้านสูญหายไป จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าข้อความที่แจ้งเป็นความเท็จ การกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดฐานแจ้งให้พนักงานสอบสวน ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ จดข้อความอันเป็นเท็จลงใน เอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์ใช้เป็นพยานหลักฐานตาม ป.อาญา มาตรา 267 คำพิพากษาฎีกาที่ 561/2508 การเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญาไม่ใช่เรื่องแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความ แต่เป็นเรื่องเบิกความ ซึ่งศาลมีอำนาจใช้ดุลยพินิจข้อความตอนใดหรือไม่จดก็ได้ ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความ การจดบันทึกคำเบิกความของพยานจึงเป็นเรื่องของศาล ไม่ใช่เรื่องของพยานที่จะแจ้งให้ศาลจดข้อความอันเป็นเท็จ ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 267คำว่า ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน นั้น มีความหมายว่าอย่างไร ตามคำพิพากษาฎีกาสรุปได้ว่า กรณีดังต่อไปนี้มีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน คือ แจ้งความเท็จให้เจ้าพนักงานพิมพ์ตั๋วรูปพรรณขายม้า เปลี่ยนตัวคนไปจดทะเบียนโอนตั๋วพิมพ์รูปพรรณสัตว์ เปลี่ยนตัวคนไปจดทะเบียนโอนโฉนดขายฝากที่ดิน แจ้งทะเบียนสำมะโนครัวว่ามีคนฮอลันดาเข้ามาเป็นเท็จ จดทะเบียนสมยอมเพื่อฉ้อฉลเจ้าหนี้(ต้องเป็นเอกสารที่เป็นพยานหลักฐานได้ในตัวเอง) คำพิพากษาฎีกาที่ 1785/2517 โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งเรื่องที่ดิน ศาลสั่งให้ทำแผนที่พิพาท จำเลยบอกให้เจ้าพนักงานผู้ทำแผนที่บันทึกลงในแผนที่พิพาทว่า จำเลยทุกฝ่ายที่เคยมีชื่อในโฉนดครองครองร่วมกันไม่เคยแบ่งแยกเป็นส่วนสัด ไม่ว่าข้อความนี้จะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม ก็เป็นแต่เพียงบันทึกให้ปรากฏว่าจำเลยอ้างว่าอย่างไรเท่านั้น หาอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งดังกล่าว โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแต่โจทก์หรือผู้อื่นหรือประชาชนไม่ ไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 267คำพิพากษาฎีกาที่ 1671/2512 จำเลยแจ้งย้ายโรงสีของจำเลยในแบบสำรวจตามประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรม และให้ถ้อยคำต่อปลัดอำเภอเพื่อไม่ให้ผู้อื่นถูกจับกุมเรื่องตั้งโรงสีโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยย้ายโรงสีจำเลยไปที่ตั้งใหม่ เป็นการแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานมีความผิดตามมาตรา 137 และในการที่จำเลยแจ้งต่อเจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในแบบสำรวจโรงสีใช้เครื่องจักร มีวัตถุประสงค์ใช้เป็นพยานหลักฐานย่อมมีความผิดตามมาตรา 267 ด้วย คนสัญชาติจีนลงทะเบียนกองเกินว่าเป็นคนสัญชาติญวน แจ้งให้ลงทะเบียนในสำมะโนครัวว่าเป็นคนไทยเป็นความผิดตามมาตรา นี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 1654/2503 (ประชุมใหญ่) จำเลยนำประกาศนียบัตรปลอมออกแสดง ต่อสายของตำรวจดูเป็นตัวอย่างเพื่อให้ผู้ติดต่อซื้อเชื่อถือฝีมือในการปลอมจะได้ตกลงซื้อ ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นการนำเอกสารปลอมมาใช้ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนแล้ว จึงมีความผิดตามมาตรา 268
คำพิพากษาฎีกาที่ 2275/2533 จำเลยใช้ใบรับรองแพทย์ซึ่งเป็นเอกสารราชการปลอมแสดงต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อประกอบรายงานชี้แจงที่จำเลยขาดราชการ 3 วัน เพื่อให้พ้นผิดทางวินัย เป็นการใช้ที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น คือผู้บังคับบัญชาของจำเลย ที่ต้องบันทึกรายงานผลการชี้แจงเสนอขึ้นไปตาม ลำดับชั้น จำเลยจึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
คำพิพากษาฎีกาที่ 213/2539 จำเลยนำภาพถ่ายของตนมาปิดทับลงในสำเนาภาพถ่ายใบอนุญาตขับรถของตน แม้เพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจและบุคคลทั่วไปหลงเชื่อว่าเป็นต้นฉบับเอกสารที่แท้จริงแต่ก็ไม่เกิดความเสียหายใดๆ แก่ผู้อื่นหรือประชาชน จึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร และแม้จะได้นำไปใช้ก็ไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม คำพิพากษาฎีกาที่ 1593/2528 จำเลยในฐานะครูใหญ่ยื่นเอกสารใบรับรองแพทย์ประกอบใบลาป่วยต่อผู้จัดการโรงเรียนคือจำเลยเอง โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของโรงเรียน มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารกิจการโรงเรียนขณะนั้นแต่ประการใด เพิ่งเป็นผู้จัดการโรงเรียนในภายหลัง แม้ใบรับรองแพทย์จะเป็นเอกสารปลอมแต่จำเลยมิได้ใช้เอกสารดังกล่าวแสดงต่อโจทก์ โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายในข้อหาใช้เอกสารปลอมตาม ม. 268 ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย คำพิพากษาฎีกาที่ 2361/2530 ก่อนโจทก์จำเลยมีการพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์ของบ้าน จำเลยนำคำร้องซึ่งเป็นเอกสารปลอมไปยื่นต่อนายทะเบียน เพื่อขอเลขบ้านพิพาทใหม่ โดยต้องการเอาบ้านนั้นเป็นของจำเลย ดังนี้ เลขบ้านไม่ใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ แม้จำเลยจะได้เลขบ้านใหม่ก็หาทำให้โจทก์หมดสิทธิที่จะใช้เลขบ้านเดิมไม่ ความเสียหายจากการใช้เอกสารปลอมจึงเกิดขึ้นแก่นายทะเบียนเท่านั้น โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายที่จะฟ้องจำเลยได้ คำพิพากษาฎีกาที่ 3395/2525 จำเลยร่วมกับ ด. ใช้หรืออ้างพินัยกรรมของ ต. ซึ่งเป็นพินัยกรรมปลอมรับโอนมรดกมาเป็นของ ด. ขณะเกิดเหตุ ม. บุตร ต. ยังมีชีวิตอยู่ ม. จึงเป็นผู้เสียหาย เมื่อ ม. ตาย ป.วิ.อาญา ม. 4,5,6 ไม่ได้ให้อำนาจโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับพินัยกรรมของ ม. ที่จะฟ้องคดีแทน ม. ได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายในข้อหาใช้หรืออ้างเอกสารปลอมตาม ม. 268 และข้อหาแจ้งความเท็จ ตาม ม. 137 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คำพิพากษาฎีกาที 815/2531 โจทก์ไม่ใช่คู่ความในคดีที่ ล. ขอให้ศาลสั่งให้ อ. เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและไร้ความสามารถ แม้ ล. อ้างสูติบัตรปลอมและสำเนาทะเบียนบ้านปลอมเป็นพยานในคดีดังกล่าวก็เป็นการกระทำต่อศาล มิได้กระทำต่อโจทก์ โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย
คำถาม นายอ้วนกู้เงินนายโตไป 5,000 บาท แล้วไม่ชำระ เมื่อนายโตไปทวงนายอ้วนขอดูสัญญากู้แล้วฉีกสัญญาเพื่อ จะไม่ต้องชำระเงินแก่นายโต พอนายอ้วนฉีกสัญญาออกเป็น 2 ชิ้น นายโตแย่งสัญญาไว้ได้ก่อนที่นายอ้วนจะฉีกต่อไปอีก นายอ้วนจึงกลับแล้วนำเงิน 5,000 บาท ไปชำระให้นายโตเรียบร้อยดังนี้ นายอ้วนจะมีความผิดอย่างใดหรือไม่คำตอบ การที่นายอ้วนฉีกสัญญากู้ออกเป็น 2 ชิ้นนั้น เรียกได้ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่นายโตแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำลายจนใช้ไม่ได้ นายอ้วนจึงต้องมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตาม ม. 358 และ ฐานทำลายเอกสารตามมาตรา 188 อันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตาม ม.188 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามมาตรา 90 การที่นายอ้วนเอาเงินมาชำระให้นายโตในภายหลังไม่ทำให้นายอ้วนพ้นความผิดที่ได้ทำไว้แล้วไปได้ คำถาม ตำรวจจับนายเอกและยึดเอกสารที่มีเลขการซื้อสลากกินรวบได้จากนายเอกในข้อหาเล่นการพนันสลากกินรวบโดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะที่ตำรวจทำบันทึกการจับกุมอยู่นั้น นายโทได้เข้าแย่งเอาสลากกินรวบนั้นจากตำรวจไปทิ้งเสียในคูข้างถนน เพื่อไม่ให้มีหลักฐานพิสูจน์ความผิดของนายเอกได้ ดังนี้ นายโทจะมีความผิดสถานใดบ้างหรือไม่ คำตอบ ตำรวจยึดเอกสารเพื่อเป็นพยานหลักฐาน การที่นายโทเอาทิ้งเสียเป็นการทำให้เสียหายซึ่งเอกสารนั้น เป็นความผิดตาม ป.อาญา ม.142 นอกจากนี้เป็นการกระทำเพื่อช่วยนายเอกมิให้ต้องรับโทษ ทำให้เสียหายซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด เป็นความผิดตาม ป.อาญา 184 อีกบทหนึ่ง และการที่เอาเอกสารที่ตำรวจยึดไว้ไปเสียเป็นความผิดตามป.อาญา ม.188 อีกบทหนึ่งด้วย ข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาสนามเล็กเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2534 คำถาม นายสมพงษ์หัวหน้าสำนักงานแห่งหนึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาคำสั่งต่าง ๆ ของผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องการให้นายพินิจครูประจำจังหวัดซึ่งเป็นเพื่อนของตนไปช่วยราชการในแผนกศึกษาธิการจังหวัดนั้น จึงทำคำสั่งจังหวัดเรื่องแต่งตั้งข้าราชการขึ้น โดยย้ายนายพินิจไปช่วยราชการในแผนกศึกษาธิการจังหวัด ซึ่งอำเภอดังกล่าวเป็นของผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อพิมพ์คำสั่งลงในกระดาษไขแล้วได้ตัดเอากระดาษไขที่มีลายมือชื่อของผู้ว่าราชการจังหวัดในกระดาษไขซึ่งลงนามไว้ในคำสั่งอื่น มาติดไว้ในคำสั่งที่นายสมพงษ์ทำขึ้น แล้วโรเนียวคำสั่งดังกล่าวส่งไปยังผู้อำนวยการโรงเรียนประจำจังหวัดเพื่อให้ส่งตัวนายพินิจมาตามคำสั่ง แต่ผู้อำนวยการโรงเรียนไม่เชื่อ จึงไม่ได้ปฏิบัติตาม ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าความผิดและโทษของนายสมพงษ์ คำตอบ นายสมพงษ์เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ดูและรักษาเอกสารและคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัด การที่นายสมพงษ์ทำคำสั่งปลอมเพื่อแต่งตั้งข้าราชการโดยไม่มีอำนาจโดยใช้วิธีตัดลายมือชื่อของผู้ว่าราชการจังหวัดในกระดาษไขมาติดในคำสั่งที่นายสมพงษ์ทำขึ้น ย่อมเป็นการทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับ เพื่อแสดงให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่าเป็นคำสั่งที่แท้จริง นายสมพงษ์จึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปลอมเอกสารราชการตาม ป.อาญา ม. 161,264 วรรคแรก และ 265 (ฎ. 2316/2529) ตัวอย่างข้อสอบเนติฯ คำถาม นายดีทำสัญญาประกันตัวนายดำไปจากศาล นายดำหลบหนีไปไม่ฟังคำพิพากษาตามกำหนดนัด นายดำจึงไปขอความช่วยเหลือจากนายแดงกำนันท้องที่โดยนายดีร่วมกับนายแดงทำใบมรณะบัตรว่า นายดำถึงแก่ความตาย แล้วนายดีได้ทำคำร้องยื่นต่อศาลว่านายดำถึงแก่ความตาย พร้อมกับส่งใบมรณบัตรดังกล่าวต่อศาลด้วย ดังนี้ให้วินิจฉัยว่านายแดงและนายดำจะมีความผิดฐานใดบ้างหรือไม่ คำตอบ นายแดงเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำ กรอกข้อความลงในมรณะบัตรตามอำนาจหน้าที่ มรณะบัตรดังกล่าวจึงเป็นเอกสารที่แท้จริงที่นายแดงทำขึ้น แม้ข้อความในมรณะบัตรไม่ตรงกับความจริงก็ไม่ทำให้เป็นเอกสารปลอม นายแดงจึงไม่มีความผิดตาม ป.อาญา ม. 161 แต่เป็นความผิดตาม ป.อาญา ม. 162 ส่วนนายดียื่นคำร้องเท็จต่อศาลว่านายดำถึงแก่ความตาย เป็นการร้องเพื่อให้พ้นความรับผิดตามสัญญาประกัน จึงเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตาม ป.อาญา ม.137 และนายดียังมีความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำความผิดตาม ป.อาญา ม.162 ประกอบด้วยมาตรา 86 อีกฐานหนึ่ง โดยที่มรณะบัตร ที่นายดียื่นต่อศาลไม่ใช่เอกสารปลอมนายดีจึงไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตาม ป.อาญา มาตรา 268 (ฎ.2302/2523) คำพิพากษาฎีกาที่ 1302/2523 จำเลยที่ 2 เป็นสารวัตร กำนันปฎิบัติหน้าที่แทนกำนัน เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าออกสำเนาทะเบียนบ้านว่าย้ายออก และมีหน้าที่กรอกข้อความลงในใบมรณะบัตรตามอำนาจหน้าที่ โดยลงชื่อจำเลยที่ 2 ในช่องนายทะเบียนผู้รับแจ้งมรณบัตรและสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าว จึงเป็นเอกสารที่แท้จริงที่จำเลยที่ 2 ทำขึ้น แม้ข้อความในมรณะบัตรและสำเนาทะเบียนบ้านไม่ตรงกับความจริง ก็ไม่ทำให้เป็นเอกสารปลอมตามมาตรา 161 แต่เป็นความผิดตาม ม. 162 คำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวจะต้องยื่นต่อศาลชั้นศาลชั้นต้นที่ชำระคดี คำว่า ศาล หมายถึง ผู้พิพากษาที่มีอำนาจทำการเกี่ยวกับคดีอาญา ผู้พิพากษาจึงมีอำนาจหน้าที่ วินิจฉัยสั่งคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราว ตลอดจนการบังคับตามสัญญาในกรณีที่ผิดสัญญาจึงเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย การที่จำเลยยื่นคำร้องเท็จว่า ส. ถึงแก่กรรมเป็นการร้องเพื่อให้พ้นจากความผิดตามสัญญาประกัน จึงเป็นการแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ศาลลงโทษจำเลยฐานละเมิดอำนาจศาลประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เป็นการลงโทษตาม ป.วิ.แพ่ง ม. 31(1) และ ม.33 โดยไม่มีโจทก์ฟ้อง สิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์จึงไม่ระงับไป โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาฐานแจ้งความเท็จตาม ม. 137 ได้คำถาม นายใหญ่มอบอำนาจให้นายเล็กเลขานุการลงชื่อนายใหญ่ในเอกสารต่าง ๆ แทนได้ นายเล็กได้ลงชื่อนายใหญ่ในฐานะผู้สั่งจ่ายลงในเช็คหลายฉบับ เก็บไว้นายโตได้ลักเอาเช็คที่มีชื่อนายใหญ่ฉบับหนึ่งไปกรอกข้อความและจำนวนเงินแล้วนำเช็คไปขึ้นเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายไม่เหมือนกับลายมือชื่อตัวอย่างที่มอบให้ธนาคารไว้ ดังนี้ นายโตจะมีความผิดฐานใดหรือไม่ คำตอบ การลงลายมือชื่อไม่มีกฎหมายให้อำนาจลงลายมือชื่อแทนกันได้ (ฎ.ที่ 1020/2517และ 2525) การกระทำของนายโตจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตาม ป.อาญา ม. 264,266 แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ก็เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ตาม ม. 268 ลงโทษตาม ม. 268 และเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ม. 334 อีกกระทงหนึ่งด้วย ตัวอย่างข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา คำถาม นายมีให้นายทองกู้เงินไป 5,000 บาท โดยมิได้ทำหนังสือสัญญากู้ไว้ต่อมานายทองไม่ชำระเงินภายใน 6 เดือน ตามที่ตกลง นายมีจึงทำสำเนาสัญญากู้ขึ้นฉบับหนึ่งมีใจความว่า นายทองกู้เงินนายมีไป 5,000 บาท กำหนดชำระเงินภายใน 6 เดือน และเขียนชื่อนายทองในช่องผู้กู้ เขียนชื่อนายมีในช่องผู้ให้กู้ กับเขียนชื่อบุคคลอื่นอีก 2 คนในช่องพยาน นายมีลงนามรับรองสำเนาสัญญากู้นั้นว่าเป็นสำเนาที่ถูกต้อง แล้วนายมีนำสำเนาสัญญากู้นั้นไปฟ้องศาลเรียกเงิน 5,000 บาท จากนายทองโดยแนบสำเนา สัญญากู้มาท้ายฟ้องและบรรยายในฟ้องด้วยว่าต้นฉบับสูญหายไป นายทองให้การปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้เลย ในชั้นสืบพยานนายมีได้อ้างสำเนาสัญญากู้ฉบับนั้นเป็นพยานด้วย ดังนี้ การกระทำของนายมีทั้งหมดเป็นความผิดใดบ้างหรือไม่ คำตอบ การกระทำของนายมีเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามป.อาญา ม. 265 เพราะการรับรองสำเนาสัญญากู้ว่าถูกต้องทั้งๆ ที่ต้นฉบับไม่มี เท่ากับเป็นการปลอมขึ้นทั้ง ฉบับนี้ เพื่อให้เห็นว่าตนได้คัดมาจากต้นฉบับที่แท้จริงถือว่าเป็นการปลอมเอกสาร (ฎ.1733/2514) และสัญญากู้เป็นเอกสารสิทธิตามความหมายของ ป.อาญา มาตรา 1(9) (ฎ.167/2517) เมื่อนายมีนำสัญญากู้นั้นไปยื่นฟ้องต่อศาลจึงเป็นการใช้เอกสารสิทธิปลอมตาม ป.อาญา ม. 268 ด้วย (ฎ. 825/2506) แต่เมื่อนายมีเป็นทั้งผู้ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม จึงให้ลงโทษตาม ป.อาญา ม.268 เพียงกระทงเดียวตาม ป.อาญา ม. 268 วรรคสอง นอกจากนี้นายมียังมีความผิดฐานแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี ตาม ป.อาญา ม. 180 อีกกระทงหนึ่งด้วย ซึ่งเป็นความผิดต่างกรรมกับความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม คำถาม นายขาวต้องการได้ประกาศนียบัตรชั้นมัธยมปีที่ 6 ปลอม จึงไปขอซื้อจากนายแดง แต่นายแดงว่าขณะนี้ไม่มีใบประกาศนียบัตร มีแต่ใบสุทธิ แล้วควักใบสุทธิปลอมซึ่งนายดำเป็นผู้ทำและจะเอาไปขายให้แก่นายเหลืองออกมาให้นายขาวดู นายขาวดูแล้วตกลงซื้อ จึงบอกชื่อตัว ชื่อสกุล และอายุแก่นายแดง เพื่อให้นายไปจัดหามาให้ วินิจฉัยว่านายขาว นายแดงจะมีความผิดทางอาญาฐานใดหรือไม่ คำตอบ นายขาวมีความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานปลอมหนังสือ ส่วนนายแดงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตาม ป.อาญา ม. 84 ประกอบ ม.264 และ ม. 268 ต่อไปเป็นตัวอย่างข้อสอบคัดเลือกบรรจุเป็นข้าราชการอัยการในตำแหน่งอัยการผู้ช่วย คำถาม ข้อเท็จจริงในสำนวนการสอบสวนคดีอาญาเรื่องหนึ่ง ปรากฏว่าผู้ต้องหาสำเร็จการศึกษาประถมปีที่ 3 เป็นผู้ที่ ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการสมัครรับเลือกตั้ง เป็นส.ส. จังหวัดหนึ่ง ผู้ต้องหาได้กรอกใบสมัครด้วยตนเองว่าผู้ต้องหามียศร้อยโทแห่งกองทัพบกไทย แล้วยื่นต่อผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งมีหน้าที่สอบสวนคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้งเพื่อให้จดข้อความลงในบันทึกการสอบสวนว่า ผู้ต้องหามียศร้อยโท ซึ่งผู้ต้องหารู้อยู่แล้วว่าไม่เป็นความจริง ทั้งรูปถ่ายที่ยื่นต่อผู้ว่าราชการจังหวัดก็ปรากฏว่า ผู้ต้องหาแต่งเครื่องแบบทหารบกยศร้อยโทโดยไม่มีสิทธิ และผู้ต้องหาได้มอบรูปถ่ายของตนดังกล่าวแล้วนั้น ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อเป็นหลักฐานในการสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. และเพื่อให้ผู้ว่า ฯ นำไปปิดประกาศให้ประชาชนทราบ ผู้ว่าฯ เชื่อตามหลักฐานที่ผู้ต้องหานำมาแสดง จึงรับสมัครไว้ ดังนี้ผู้ต้องหาจะมีความผิดฐานใดบ้าง คำตอบ การที่ผู้ต้องหากรอกใบสมัครด้วยตนเองแล้วยื่นต่อผู้ว่าฯ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จ ผู้ต้องหามีความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตาม ป.อาญา ม. 137 กรณีที่ผู้ว่าฯ สอบสวนคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้งและผู้ต้องหาได้แจ้งให้จดลงในบันทึกการสอบสวนอันเป็นเอกสารราชการว่า ผู้ต้องหามียศร้อยโทซึ่งผู้ต้องหารู้อยู่แล้วว่าไม่เป็นความจริง ผู้ต้องหามีความผิดฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการตาม ป.อาญา ม. 267 ส่วนกรณีที่ผู้ต้องหาสวมเครื่องแบบยศร้อยโทโดยไม่มีสิทธินั้น ผู้ต้องหามีความผิดฐานสวมเครื่องแบบและใช้ยศทหารโดยไม่มีสิทธิ ตาม ป.อาญา ม. 146 (ฎ. 2752/2519) คำถาม นางศรี มีสุข อยู่กินฉันสามีภริยา กับนายฮ้อ แซ่อึ้ง โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสจนมีบุตร ด้วยกัน 1 คน เมื่อบุตรเกิด นางศรีได้ไปแจ้งคนเกิดต่อนายทะเบียนท้องถิ่นว่าเด็กหญิงอนุศรี มีสุข เป็นบุตร ของตนโดยนายฮ้อ แซ่อึ้ง เป็นบิดา และได้รับสูติบัตรไปโดยถูกต้องแล้ว หลังจากคลอดบุตรนางศรีก็เลิกอยู่กินฉันสามีภริยากับนายฮ้อ ต่อมานายฮ้อได้ไปแจ้งคนเกิดต่อนายทะเบียนท้องถิ่นอีกแห่งหนึ่งว่า เด็กหญิงอนุศรี แซ่อึ้ง เป็นบุตรของตนโดยนางศรี เป็นมารดา และได้รับสูติบัตรไปเช่นเดียวกัน การกระทำของนายฮ้อจะเป็นความผิดฐานใดหรือไม่ คำตอบ ข้อความที่นายฮ้อแจ้งให้เจ้าพนักงานจดมิใช่ข้อความอันเป็นเท็จ นายฮ้อจึงไม่มีความผิดฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ ตาม ป.อาญา ม. 267 คำถาม นางมาลี ภริยานายมิ่งขอเงินนายมิ่ง จะไปซื้อแหวนเพชร นายมิ่งไม่ให้นางมาลีจึงให้นายมิ่งซึ่งมีอาชีพเป็นแพทย์ออกหนังสือตรวจโรค ว่า นางมาลีเป็นโรคมะเร็งต้องเสียค่ารักษา 10,000 บาท นายเมืองจัดการให้ตามประสงค์โดยรู้ว่านางมาลีจะเอาหนังสือนั้นไปหลอกเอาเงินนายมิ่ง นายมิ่งเชื่อตามหนังสือที่นายเมืองออกรับรองให้ จึงให้เงินนางมาลีไปรักษาโรค 10,000 บาท นางมาลีและนายเมืองจะมีความผิดฐานใดหรือไม่ (เคยออกเป็นข้อสอบผู้พิพากษาและเนติฯ) คำตอบ นางมาลีผิดฐานฉ้อโกง ตาม ม. 341 และผิดฐานใช้หรืออ้างคำรับรองเอกสารอันเป็นเท็จ ตาม ม. 269 วรรคสอง แต่ฐานฉ้อโกงไม่ต้องรับโทษ ตามนัย ม. 71 คงลงโทษตาม ม. 269 บทเดียว นายเมืองมีความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 ประกอบด้วย ม. 83 และผิดฐานทำคำรับรองอันเป็นเท็จ ตาม ม. 269 ลงโทษตามมาตรา 341 ซึ่งเป็นบทหนักตาม ม. 90 คำถาม นายจอนไปหาเพื่อนที่สถานทูตไทยในสหรัฐอเมริกา และได้เห็นเอกสารอันปกปิดไว้เป็นความลับเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา เกี่ยวข้องกับความมั่นคงปลอกภัยของทั้งสองประเภท วางอยู่บนโต๊ะของเพื่อนจึงแอบหยิบเอกสารนั้นไว้เสียเพื่อจะนำไปขาย แต่ถูกเจ้าหน้าที่สถานทูตจับได้นำส่งตำรวจ นายจอน ถูกศาลในสหรัฐอเมริกาพิพากษาลงโทษ เมื่อนายจอนรับโทษครบถ้วนตามคำพิพากษาแล้วก็เดินทางมาอยู่ในประเทศไทย ดังนี้ ศาลไทยจะลงโทษนายจอนในราชอาณาจักร เพราะการกระทำนั้นอีกได้เพียงใดหรือไม่ คำตอบ การกระทำของนายจอน เป็นความผิดต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตาม ม.123 ศาลไทยลงโทษนายจอนในราชอาณาจักรได้อีกโดยไม่มีข้อจำกัดตาม ม. 10 เพราะม. 10 ไม่ได้คลุมถึงความผิดตาม ม. 7(1)ด้วย คำถาม นางศรี ซื้อซื้อรถยนต์มาใหม่เอี่ยม 1 คัน จดทะเบียนเสียภาษีแล้ว แต่ยังไม่ได้รับแผ่นป้ายทะเบียนหมายเลขรถยนต์ นางศรีอยากจะขับรถคันใหม่นี้ไปอวดเพื่อนแต่เกรงว่าจะถูกตำรวจจับ จึงเอาแผ่นป้ายทะเบียนหมายเลขรถยนต์คันเก่าของตนที่ทางราชการออกให้มาติดที่รถยนต์คันใหม่ แล้วขับรถยนต์คันใหม่ นั้นไปตามถนน เช่นนี้นางศรีจะมีความผิด ตาม ป.อาญาฐานใดหรือไม่ คำตอบ แผ่นป้ายทะเบียนหมายเลขรถยนต์คันเก่าของนางศรี เป็นเอกสารราชที่แท้จริง ไม่ใช่เอกสารราชการปลอม นางศรีไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอม (ฎ. 1141/2523) คำถาม นายเชยมอบให้นายชอบซึ่งเป็นบุตรไปกู้เงินนายวอน โดยลงชื่อในหนังสือสัญญากู้ฐานะผู้กู้ แล้ว เมื่อนายชอบได้เงินกู้แล้วได้มอบหนังสือกู้ให้นายวอน หลังจากนายชอบกลับไปแล้วนายวอน เห็นหนังสือสัญญากู้นั้นไม่มีลายมือชื่อพยาน จึงให้นายวาดกับนางสาววิน ลงชื่อเป็นพยาน ต่อมานายเชยผิดนัดไม่ชำระเงินตามสัญญากู้ นายวอนจึงฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้นั้น โดยแนบหนังสือสัญญากู้ฉบับนั้นมาท้ายคำฟ้อง นายวอนและนายวาดกับนางสาววินเบิกความว่านายวาดกับนางสาววิน ลงชื่อเป็นพยานในตอนกู้เงินด้วย ดังนี้นาย วอน นายวาด และนางสาววินมีความผิดฐานใดบ้างหรือไม่ คำตอบ ความผิดฐานปลอมเอกสารต้องเป็นการกระทำที่น่าจะเกิดหรืออาจเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน กรณีตามปัญหา แม้สัญญากู้จะเป็นเอกสารสิทธิ และนายวอนเป็นคนจัดให้มีพยานลงลายมือชื่อในสัญญากู้ลับหลังนายชอบก็ตาม แต่สัญญากู้ที่ได้ทำกันได้ลงชื่อนายเชยผู้กู้ สัญญากู้ที่ไม่มีพยานลงลายมือชื่อนั้นมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว การที่นายวอนให้นายวาด กับนางสาววิน ลงชื่อในสัญญากู้ที่สมบูรณ์ตามกฎหมายอยู่แล้วในภายหลัง แม้นายเชยจะไม่ทราบ จึงไม่น่าจะเกิดหรืออาจเกิดความเสียหายแก่นายเชยผู้กู้ หรือประชาชนการกระทำของนายวอนขาดองค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสาร เมื่อสัญญากู้สมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว การนำสัญญาไปใช้ยื่นฟ้องต่อศาลย่อมไม่มีความผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิปลอมตาม ม. 268 และไม่มีความผิดฐานแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี ตาม ม. 180 ทั้งไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จ ตาม ม. 177 เพราะความผิดฐานเบิกความเท็จตาม ม. 177 ถ้อยคำที่เบิกความเท็จจะต้องเป็นข้อสำคัญในคดี แต่ข้อที่นายวอนเบิกความไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี นายวอนจึงไม่มีความผิดฐานใด ( ตาม ฎ. 1126/2505) นายวาดกับนางสาววินก็ไม่มีความผิดเช่นกัน คำพิพากษาฎีกาที่ 1126/2505 ทำสัญญากู้เงินกันไว้โดยถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่ได้ลงนามพยานในสัญญา ต่อมาผู้ให้กู้จึงให้ผู้อื่นลงนามเป็นพยานในท้ายสัญญาโดยผู้กู้มิได้รู้เห็นด้วย เมื่อสัญญาดังกล่าวมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย กรณีพยานลงนามภายหลังไม่น่าจะเกิดหรืออาจเกิดความเสียหายแก่โจทก์ คำถาม นายแจ่มและนายแจ๋วขับรถยนต์แข่งกันในถนนยามวิกาล ร้อยตำรวจเอกกล้าซึ่งตั้งด่านตรวจได้เรียกให้หยุดแล้วตรวจใบอนุญาตขับรถ นายแจ่มนำใบอนุญาตขับรถออกแสดง ปรากฎว่า ใบอนุญาตขับรถดังกล่าวเป็นสำเนาซึ่งนายแจ่มถ่ายมาจากต้นฉบับ ใบอนุญาตขับรถของตนที่ภาพถ่ายหลุดหาย นายแจ่มจึงนำภาพถ่ายของตนมาปิดทับในสำเนาใบอนุญาตขับรถ แล้วอัดกรอบพลาสติกขนาดเท่าใบอนุญาตขับรถที่แท้จริง ทั้งนี้เพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจและบุคคลทั่วไปหลงเชื่อว่าสำเนาภาพถ่ายใบอนุญาตขับรถดังกล่าวเป็นต้นฉบับใบอนุญาตขับรถที่ถูกต้องแท้จริงที่นายทะเบียนเป็นผู้จัดทำขึ้น ส่วนนายแจ๋วมีใบอนุญาตขับรถ แต่ปรากฏว่าแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ ของนายแจ๋วไม่ใช่แผ่นป้ายทะเบียนที่แท้จริงที่ทางราชการออกให้ เนื่องจากแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ของนายแจ๋วที่ทางราชการออกให้ได้หลุดหาย นายแจ๋วจึงทำแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ใหม่ให้มีลักษณะ ขนาด ตัวหนังสือ และตัวเลขเหมือนกับแผ่นป้ายทะเบียนที่แท้จริง แล้วนำมาติดไว้กับรถยนต์ของตน ดังนี้ นายแจ่มและนายแจ๋วจะมีความผิดฐานใดหรือไม่ คำตอบ การที่นายแจ่มนำภาพถ่ายของตน มาปิดทับลงในสำเนาภาพถ่ายใบอนุญาตขับรถของตนเอง แม้จะกระทำไปเพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจและบุคคลทั่วหลงเชื่อว่าเป็นต้นฉบับเอกสารที่แท้จริง แต่เมื่อเป็นภาพถ่ายของนายแจ่มและเป็นสำเนาภาพถ่ายใบอนุญาตขับรถของนายแจ่มเอง การกระทำของนายแจ่มย่อมไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ แก่ผู้อื่นหรือประชาชน จึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร และแม้นายแจ่มจะได้นำเอกสารนั้นไปใช้ก็ไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม (ฎ. 213/2539) แม้นายแจ๋วจะทำแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ขึ้นใหม่ มีลักษณะ ขนาดตัวหนังสือ และตัวเลขเหมือนกับแผ่นป้ายทะเบียนที่แท้จริง แต่นายแจ๋วก็นำไปใช้ติดกับรถยนต์ของตนที่มีหมายเลขทะเบียนที่ถูกต้อง จึงไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน การกระทำของนายแจ๋วจึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมเช่นกัน (เทียบฎีกาที่ 2241/2523) |