อาญามาตรา 209-287
ประเด็นที่ 1 ความผิดฐาน
อั้งยี่,ซ่องโจร
อั้งยี่
มาตรา 209
ผู้ใดเป็นสมาชิกคณะบุคคล
เพื่อปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมาย
เพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่
ถ้าผู้กระทำความผิด
เป็นหัวหน้า ผู้จัดการ
หรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในคณะบุคคลนั้น
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10
ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท
ข้อสังเกต
- คณะบุคคล หมายถึง การรวมตัวของบุคคลตั้งแต่
2 คนขึ้นไป
โดยมีความมุ่งหมายอย่างเดียวกันและการรวมตัวกันนั้นจะต้องรวมตัวกันในลักษณะถาวร
ถ้ารวมตัวกันเป็นครั้งคราวจะไม่ใช่อั้งยี่
แต่อาจเป็นซ่องโจร ตามมาตรา 210
- ปกปิดวิธีดำเนินการ
หมายถึง รู้กันในหมู่สมาชิกไม่เปิดเผยแก่บุคคลอื่น
เช่น
ใช้นิ้วแสดงเป็นเครื่องหมายลับ
โดยรู้กันในหมู่สมาชิก (
คำพิพากษาฎีกาที่ 124/2457,301-303/2470)
- มีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย
ไม่จำกัดไว้ว่าต้องเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาเท่านั้น
อาจเป็นละเมิดในทางแพ่งก็ได้
- มาตรานี้
มุ่งหมายเอาผิดในการที่เข้าเป็นสมาชิก
ดังนั้นเพียงแต่เข้าเป็นสมาชิกของคณะบุคคลเท่านั้นก็เป็นความผิดสำเร็จทันที
โดยยังไม่จำต้องทำอะไรก็เป็นความผิดตามมาตรานี้แล้ว
และถ้ามีการทำตามความมุ่งหมายก็อาจจะมีความผิดอย่างอื่นด้วย
คำพิพากษาฎีกาที่1176/2543
- คำว่า
หัวหน้า
หมายถึง บุคคลผู้นั้นเป็นใหญ่ในหมู่สมาชิก
จำเลยชักชวนจัดการให้ราษฎรหลายตำบลสาบานตัวเข้าเป็นสมาชิกในสมาคมซึ่งไม่ได้จดทะเบียนและมีวัตถุประสงค์คอยช่วยเหลือหาพยานเท็จและออกเงินช่วยเหลือในเมื่อสมาชิกต้องหาคดีอาญา
มีเครื่องหมายสมาคมรู้กันเฉพาะระหว่างสมาชิกเท่านั้นจำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นหัวหน้าอั้งยี่
( คำพิพากษาฎีกาที่ 301-303/2479)
ความผิดตามมาตรานี้เป็นความผิดต่อรัฐ
รัฐเท่านั้นที่เป็นผู้เสียหาย
ราษฎรไม่มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาฎีกาที่3447/2540
ซ่องโจร
มาตรา 210
ผู้ใด สมคบกันตั้งแต่ 5
คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค
2 นี้
และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่
1 ปี ขึ้นไปผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร
ถ้าเป็นการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษ
คือประหารชีวิตจำคุกตลอดชีวิต
หรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 10
ปี ขึ้นไป
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่
2 ปี ถึง 10ปี และปรับตั้งแต่ 4.000
บาท ถึง 20.000 บาท
ข้อสังเกต
สมคบ หมายถึง
การประชุมปรึกษาหารือและตกลงใจร่วมกันที่จะกระทำความผิด
สมคบ ตามพจนานุกรมแปลว่าร่วมกันคบคิด
สมคบ หมายถึง
การแสดงออกซึ่งความตกลงจะกระทำความผิดร่วมกัน
(
น่าจะมีความหมายทำนองเดียวกับมาตรา
83 ป.อ. )
คำพิพากษาฎีกาที่
1103-1104/2496 การประชุมวางแผนการหรือทำพิธีจะไปปล้นเป็นการสมคบกันตามความหมายของมาตรานี้
คำพิพากษาฎีกาที่
2829/2526,4986/2533 ความผิดฐานฐานซ่องโจรตาม
ป.อ. มาตรา 210
ผู้กระทำจะต้องสมคบกันเพื่อกระทำผิด
กล่าวคือ ต้องมีการร่วมคบคิดกันหรือแสดงออกซึ่งความตกลงจะกระทำผิดร่วมกันประชุมหรือหารือวางแผนที่จะกระทำผิด
- การสมคบกันนั้นจะต้องสมคบกันตั้งแต่
5 คนขึ้นไป จึงจะเป็นความผิดและไม่จำกัดอายุ
หรือ เพศ แต่ การสมคบนั้นต้องมีสภาพเป็นการกระทำร่วมกันกระทำความผิด
- ตามมาตรา 210 ใช้คำว่า
สมคบกัน ส่วนมาตรา 209
ใช้คำว่า
เป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แสดงว่า
ซ่องโจรไม่จำเป็นต้องตั้งขึ้นเป็นการถาวรอย่างอั้งยี่
คำพิพากษาฎีกาที่
521/2539 จำเลยที่ 12
ให้เงินจำเลยที่ 11
เพื่อให้นำไปให้จำเลยที่ 7
และที่ 8
เช่าสถานที่และซื้อไม้มาสร้างโรงรถเพื่อนแยกชิ้นส่วนรถยนต์
โดยไม่ได้สมคบกันเพื่อลักทรัพย์
หรือรับของโจร
และเมื่อนับรวมกันแล้วก็มีเพียง
4 คน เท่านั้น
ส่วนคนร้ายที่ทำการถอดแยกชิ้นส่วนก็ไม่ปรากฏว่าจำเลย
ที่ 12
ได้ร่วมสมคบในการลักทรัพย์ด้วย
ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่พอว่าจำเลยที่
12 สมคบกับคนอื่นตั้งแต่ 5
คนขึ้นไปเพื่อนทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรอันจะเป็นความผิดฐานรับของโจร
- ความผิดที่สมคบกันเพื่อกระทำนี้ต้องเป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในภาค
2
แห่งประมวลกฎหมายอาญานี้และความผิดนั้นมีกำหนดโทษอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
แสดงให้เห็นว่ามาตรา 210
ไม่รวมถึงกฎหมายอื่น
แต่มาตรา 209ที่ว่า
การอันมิชอบด้วยกฎหมาย
นั้นรวมถึงกฎหมายอื่นด้วย
- กำหนดโทษอย่างสูงตั้งแต่ 1
ปีขึ้นไป
ตั้งแต่
= เป็นอัตราโทษขั้นต้น ,
เริ่มต้น
ความผิดฐานนี้ ผิดสำเร็จทันทีที่สมคบกัน
แม้ว่าจะยังมิได้ไปลงมือกระทำความผิดตามที่สมคบกันก็ตาม
คำพิพากษาฎีกาที่
3201/2527 ความผิดฐานซ่องโจร
เมื่อได้ประชุมตกลงกันแล้ว
แม้จะยังไม่ได้ไปกระทำความผิดตามที่ตกลงกันไว้
ผู้ที่เข้าร่วมประชุมก็มีความผิดฐานเป็นซ่องโจรแล้ว
หากมีผู้เข้าร่วมประชุมคนใดไปกระทำความผิด
ตามที่ได้ตกลงกันไว้ก็เป็นความผิดขึ้นอีกกระทงหนึ่ง
ผู้เข้าร่วมประชุมแม้จะไม่ได้ไปร่วมกระทำผิดด้วยก็ต้องมีความผิดตามมาตรา
213
คำพิพากษาฎีกาที่
871/2457,116/2471,1341/2521
ความผิดฐานซ่องโจร เมื่อได้ประชุมตกลงกันแล้ว
แม้จะยังไม่ได้ไปกระทำความผิดตามที่ตกลงกันไว้
ผู้ที่เข้าร่วมประชุมก็มีความผิดฐานเป็นซ่องโจรแล้ว
หากมีผู้เข้าร่วมประชุมคนใดไปกระทำความผิด
ตามที่ได้ตกลงกันไว้ก็เป็นความผิดขึ้นอีกกระทงหนึ่ง
ผู้เข้าร่วมประชุมแม้จะไม่ได้ไปร่วมกระทำผิดด้วยก็ต้องมีความผิดตามมาตรา
213
คำพิพากษาฎีกาที่
2429/2528 จำเลยกับพวก
7
คนตกลงกันจะใช้ตลับยาหม่องครอบเหรียญพนันบนรถประจำทาง
จำเลยที่1
แลกเงินให้จำเลยอื่นทุกคนเพื่อนำไปแทง
ใครได้ใครเสียก็ให้จดไว้
เมื่อเล่นเสร็จแล้วก็ให้คืนเงินกัน
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 10
ขึ้นรถประจำทางที่จังหวัดสระบุรี
มีจำเลยที่ 5
คนเดียวรอที่สถานีขนส่งจำเลยที่1
กับพวกก็
ดำเนินการตามที่ตกลงคือขึ้นรถเมล์ไปโคราช
และให้หน้าม้าแทงคนโดยสารที่นั่งข้างๆ
อยากได้เงินขึ้นก็มาร่วมแทงด้วย
พอได้เงินก็นัดให้ไปรับแถวๆอำเภอปากช่อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
แม้จำเลยที่5
จะไม่ได้ไปด้วยบนรถโดยสารพร้อมจำเลยอื่นโดยรออยู่ที่สถานีขนส่งและจะขับรถไปรับเมื่อจำเลยอื่นเลิกเล่นแล้วก็ตาม
ถือว่าเป็นการแบ่งหน้าที่ทำเพราะจำเลยที่
5
ได้เข้าร่วมปรึกษาวางแผนกับจำเลยอื่นแล้ว
จำเลยที่ 5
มีความผิดฐานเป็นซ่องโจรด้วย
ตามคำพิพากษาฎีกาเรื่องนี้
อธิบายหลักของมาตรา 210 ว่า
การสมคบกันหมายถึง
การร่วมปรึกษาวางแผนกันเพื่อกระทำความผิด
จำเลยที่ 5
ได้เข้าร่วมปรึกษาวางแผนกับจำเลยอื่น
จึงเป็นการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดฐานฉ้อโกง
ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2
และความผิดฐานฉ้อโกงมีกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน
3 ปี
- ความผิดตามมาตรานี้จะเป็นความผิดกรรมเดียวกับความผิดที่ได้กระทำขึ้นตามที่สมคบหรือไม่
ต้องดูเจตนาที่สมคบกัน
คำพิพากษาฎีกาที่
4548/2540 วินิจฉัยว่า จำเลย 1 ถึงที่
3 กับพวกรวม 6 คน
ร่วมกันวางแผนไปกระทำการปล้นทรัพย์
ของผู้เสียหาย ที่ 2 อันเป็นความผิดตามที่ได้บัญญัติไว้ในภาค
2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
จึงเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจร
เมื่อจำเลยที่ 4
กับพวกไปปล้นร้านทองของผู้เสียหายที่2
ตามแผนที่ร่วมกันวางไว้
แม้จำเลยที่ 1 ถึง ที่3
จะไม่ได้ไปร่วมในการปล้นร้านทองด้วย
จำเลยที่1 ถึงที่ 3
ผู้ร่วมวางแผนย่อมมีความผิดฐานเป็นตัวการปล้นร้านทองร่วมกับจำเลยที่
4 กับพวกด้วย
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 213
และ ความผิดฐานเป็นซ่องโจรกับความผิดฐานปล้นทรัพย์เกี่ยวเนื่องกันกล่าวคือ
พวกจำเลยกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร
เพื่อจะไปปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายที่
2
จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
ต้องลงโทษฐานปล้นทรัพย์ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 90
คำพิพากษาฎีกาที่
1719/2534 จำเลยกับพวกรวม
5 คน
ปรึกษากันว่าจะไปปล้นรถจักรยานยนต์
เป็นการสมคบกันเพื่อกระทำความผิด
และการกระทำความผิดที่สมคบกันเพื่อจะไปกระทำนั้นเป็นการปล้นทรัพย์อันเป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในภาค
2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
ซึ่งมีโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป
การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานซ่องโจร
ตามมาตรา 210 วรรคสอง
- ถ้าสมคบกันเพื่อทำผิดนอกราชอาณาจักรจะมีความตามกฎหมาย
มาตรา 210 หรือไม่
อาจารย์
จิตติ ติงศภัทิย์ อธิบายว่า
ตามมาตรา 6 การใช้ ,
สนับสนุนในราชอาณาจักรให้มีการทำความผิดนอกราชอาณาจักร
การใช้,
การสนับสนุนนั้นจะถือเป็นการทำความผิดในราชอาณาจักรได้ก็ต่อเมื่อความผิดที่ได้ใช้,
สนับสนุน
ลงโทษได้ในราชอาณาจักร
การสมคบกันตามมาตรา 210
ก็ใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน
- อ.หยุด แสงอุทัย อธิบายว่า
ผู้กระทำไม่จำเป็นต้องรู้
กำหนดโทษของความผิด
ก็มีความผิดตามวรรค 2 ได้
ถ้าเข้าหลักเกณฑ์(แต่ต้องรู้ว่าสมคบกับไปทำความผิดอะไร)
มาตรา 211 ผู้ใดประชุมในที่ประชุม
อั้งยี่หรือซ่องโจรผู้นั้นกระทำผิดฐานเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจร
เว้นแต่
ผู้นั้นจะแสดงได้ว่าได้ประชุมโดยไม่รู้ว่าเป็นการประชุมของอั้งยี่หรือซ่องโจร
ข้อสังเกต
- ความผิดตามมาตรานี้ ถือเอาการเข้าประชุม
กับอั้งยี่หรือ ซ่องโจร เป็นข้อสำคัญ
โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นสมาชิกของอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้นหรือไม่
เป็นบทบัญญัติเอาผิดแก่ผู้ที่เข้าประชุมซึ่งเป็นผู้อื่นที่ไม่ใช่สมาชิกหรือผู้ที่สมคบกันเป็นซ่องโจร
- การเข้าประชุม จะต้องเข้าประชุมโดยเจตนาด้วย
คือรู้ว่าการเข้าประชุมนั้น
เป็นการประชุมในที่ประชุม
อั้งยี่ หรือซ่องโจร
ถ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นความผิด
- แต่ อาจารย์ จิตติ
ติงศภัทิย์
เห็นว่าการกระทำอันเป็นองค์ประกอบความผิด
ซึ่งต้องประกอบด้วยเจตนา
มาตรา 59 เฉพาะการกระทำ คือการเข้าร่วมประชุม
ไม่ต้องได้ความเลยว่าผู้เข้าประชุมรู้ว่าเป็นการประชุมอั้งยี่หรือซ่องโจรด้วย
เพียงแต่มาตรานี้กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้เข้าประชุมพิสูจน์ข้อเท็จจริงแก้ตัวได้เท่านั้น
- และ อาจารย์ หยุด แสงอุทัย
เห็นว่า
ผู้ที่ประชุมในที่ประชุมอั้งยี่หรือซ่องโจรจะต้องถูกสันนิษฐาน
ไว้ก่อนว่า
ได้กระทำความผิดฐานอั้งยี่หรือซ่องโจร
- อาจารย์สุปัน พูนพัฒน์
และอาจารย์สถิตย์ ไพเราะ
การเข้าประชุม จะต้องเข้าประชุมโดยเจตนาด้วย
คือรู้ว่าการเข้าประชุมนั้น
เป็นการประชุมในที่ประชุม
อั้งยี่ หรือซ่องโจร
ถ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นความผิด
มาตรา 212 ผู้ใด
- จัดหา
ที่ประชุมหรือที่พำนักให้แก่อั้งยี่หรือซ่องโจร
ชักชวนบุคคลให้เข้าเป็นสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจร
อุปการะอั้งยี่หรือซ่องโจรโดยให้ทรัพย์หรือโดยประการอื่น
หรือ
ช่วยจำหน่ายทรัพย์ที่อั้งยี่หรือซ่องโจรได้มาโดยการกระทำความผิด
ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจรแล้วแต่กรณี
ข้อสังเกต
ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่
หรือ ซ่องโจรแล้วแต่กรณี
นั้นแสดงว่า การกระทำตามมาตรานี้ไม่ใช่เป็นความผิดฐานเป็นอั้งยี่
หรือความผิดฐานเป็นซ่องโจร
กฎหมายเพียงแต่ลงโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจรเท่านั้น
ฉะนั้นจึงไม่ทำให้ผู้กระทำตามมาตรานี้มีความผิดฐานเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจรด้วย
ผลคือ จะนำมาตรา 213
มาใช้แก่ผู้กระทำตามมาตรานี้ไม่ได้
ปกติการสนับสนุนมาตรา 86
ระวางโทษ 2 ใน 3
ของโทษที่กำหนดไว้
แต่การสนับสนุนอั้งยี่และซ่องโจร
มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนอย่างรุนแรง
กฎหมายจึงกำหนดโทษเท่ากับผู้ทำผิดฐานเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจร
คำว่า
จัดหาที่ประชุมหรือที่พำนัก
เมื่อได้จัดหา ก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
แม้ยังไม่มีการประชุมหรือพำนักก็เป็นความผิดแล้ว
คำว่า ชักชวนบุคคลให้เข้าเป็นสมาชิก
เมื่อได้ชักชวน แม้ยังไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
- อ. หยุด แสงอุทัย อธิบายว่า
อนุมาตรา 2นี้ หมายถึง
คนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกแต่ได้ชักชวน
ให้บุคคลอื่นเข้าเป็นสมาชิก
แต่กรณีคนเป็นสมาชิกได้ชักชวนบุคคลนั้นจะผิด
อั้งยี่หรือซ่องโจรบทเดียว
จะไม่มีความผิดตามอนุมาตรานี้อีก
- อ.จิตติ ติงศภัทิย์ เห็นว่า
แม้ตนเองไม่เป็นสมาชิก
ถ้าได้ความว่า
ทำการชักชวนผู้อื่นก็เป็นความผิดได้
และการชักชวนอาจทำก่อนมีอั้งยี่หรือซ่องโจรก็ได้
แต่ต้องมีอั้งยี่หรือซ่องโจรอยู่ตามที่ชักชวน
และต้องมีผลคือ
ผู้ถูกชักชวนเข้าเป็นสมาชิก
จึงเป็นความผิดตามมาตรานี้
- อ.สุปัน พูลพัฒน์ เห็นว่า
เพียงแต่ชักชวนผู้ถูกชักชวนจะเป็นสมาชิกหรือไม่ไม่สำคัญ
ช่วยจำหน่ายทรัพย์ที่อั้งยี่หรือซ่องโจรได้มาโดยการกระทำความผิด
อาจเป็นความผิดฐานรับของโจรด้วย
- แต่ อ.หยุด แสงอุทัย กับ อ.สุปัน
พูลพัฒน์ เห็นว่าผู้ทำตาม
อนุมาตรานี้จะไม่มีความผิดฐานรับของโจรอีก
ตามหลักที่ว่า
ความผิดพิเศษย่อมมาหน้าความผิดทั่วไป
- อ. สถิต ไพเราะ เห็นว่า
ถ้าใช้มาตรา 90 มาปรับทำได้
มาตรา 213
ถ้าสมาชิก อั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจรคนหนึ่ง
คนใดได้กระทำความผิดตามความมุ่งหมาย
ของอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้น
สมาชิก อั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจรที่อยู่ด้วย
ในขณะกระทำความผิด
หรืออยู่ด้วยในที่ประชุมแต่ไม่ได้คัดค้าน
ในการตกลงให้กระทำความผิดนั้น
บรรดาหัวหน้า ผู้จัดการ
หรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้น
ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นทุกคน
- มาตรา 213
เป็นบทบัญญัติให้บุคคลต้องรับโทษในการกระทำความผิดของบุคคลอื่น
ถ้าบุคคลนั้นเป็นสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจร
และมีสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจรคนหนึ่งคนใดไปกระทำความผิดตามความมุ่งหมายของอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้น
แม้ว่าตัวเองจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือกระทำความผิดก็ต้องรับโทษสำหรับความผิดที่สมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจรได้ไปกระทำ
แต่ถ้าสมาชิกคนใดคนหนึ่งได้กระทำผิดขึ้นในระหว่างกระทำการตามความมุ่งหมายของอั้งยี่หรือซ่องโจร
อันเป็นเรื่องเฉพาะตัวสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจรอื่นๆ
ไม่ต้องรับผิดด้วย
- ความผิดที่ทำต้องเป็นความผิดตามความมุ่งหมายของอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้น
คำพิพากษาฎีกาที่
116/2471 ประชุมบวงสรวงจะไปปล้นบังเอิญมีผู้ผ่านมาพวกซ่องโจรคนหนึ่งยิงผู้นั้นตาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่ไปยิงเขาตายไม่ใช่ความผิดที่สมคบกันจะทำ
คือไม่เกี่ยวกับที่จะไปปล้น
พวกซ่องโจรอื่นไม่มีความผิดด้วย
ประเด็นที่ 2
ความผิดฐานมั่วสุมทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
มาตรา 215 ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่
10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย
ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6
เดือน หรือปรับไม่เกิน 1.000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ
บรรดาผู้ที่กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4.000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ (เป็นเหตุในลักษณะคดี)
ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้า
หรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิดนั้น
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5
ปี หรือปรับไม่เกิน 10.000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข้อสังเกต
มั่วสุม
คือ
ชุมนุมกัน รวมกันเข้ามา
การมั่วสุมที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้
จะต้องเป็นการมั่วสุมตั้งแต่
10 คนขึ้นไป ถ้าต่ำกว่า 10 คน
ย่อมไม่เป็นความผิดตามาตรานี้
และการมั่วสุมกันตั้งแต่ 10
คน ขึ้นไปนั้น ไม่จำเป็นจะต้องชุมนุมพร้อมกันทีเดียว
10 คน อาจจะมาชุมนุมกันทีละคน
สองคน จนกระทั่งครบ 10 คนก็ได้
และไม่จำกัดว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่
เพศหญิงหรือเพศชาย แต่ข้อสำคัญคือ
ผุ้ที่มั่วสุมกันจะต้องมีการตกลงร่วมใจที่จะกระทำความผิดร่วมกัน
คำพิพากษาฎีกาที่
772/2482 การมั่วสุมไม่จำต้องนัดหมายร่วมกันมาก่อนแต่การกระทำตอนใช้กำลังประทุษร้ายต้องกระทำด้วยความประสงค์ร่วมกันการชุมนุมกันอย่างสงบจะไม่มีความผิดในทางอาญาเพราะเป็นอำนาจที่อาจทำได้ตามรัฐธรรมนูญ
แต่ถ้าเกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองเมื่อใดก็จะเป็นความผิดอาญาตามมาตรา
215 ได้
คำพิพากษาฎีกาที่
2387/2536 จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย
เข้าไปมีบทบาทในการให้คำปรึกษา
แนะนำและสั่งการในการนัดหยุดแรงงานของลูกจ้างประมาณ
300 คน
การนัดหยุดงานดังกล่าวมิได้เป็นไปตามขั้นตอนและเงื่อนไข
ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่า
การนัดหยุดงานของจำเลยไม่เป็นไปตามขั้นตอนและเงื่อนไข
ดังที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์
พ.ศ.2518
แต่เพื่อต่อรองบีบบังคับให้นายจ้างรับลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างกลับเข้าทำงาน
เมื่อปรากฏว่ามีการปะทะและทำร้ายซึ่งกันและกันระหว่างลูกจ้างที่นัดหยุดงานและลูกจ้างที่เข้าไปทำงานในโรงงาน
มีการปิด ประตูไม่ให้เข้าออก
มีการขว้างก้อนหินเข้าไปในโรงงานและเหตุเกิดริมถนนสาธารณะ
การกระทำของจำเลยจึงเป็นการก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
คำพิพากษาฎีกาที่
2034-2041/2537 ชักชวนนักศึกษาประชาชนชุมนุมกล่าวโจมตีผู้ว่าราชการจังหวัด
คนเหล่านั้นรวมตัวกันหลายพันคนขว้างปาเผาจวนผู้ว่าราชการจังหวัดคนเหล่านั้นผิด
มาตรา 116,215
มาตรา 216 เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา
215 ให้เลิกไป ผู้ใดไม่เลิก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
- คำว่า เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา
215 ให้เลิก
แสดงว่าการมั่วสุมนั้นยังไม่
เป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา
215
ศาลฎีกาวินิจฉัยไว้ชัดเจนคือ
คำพิพากษาฎีกาที่
1974/2532 ตามมาตรา 216
มุ่งประสงค์จะลงโทษผู้ที่ขัดคำสั่งเจ้าพนักงานที่ไม่ยอมเลิกการมั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา
215
ซึ่งเป็นการกระทำที่ยังไม่ถึงขั้นที่ผู้กระทำได้ลงมือใช้กำลังประทุษร้าย
ขู่เข็ญ
หรือทำให้เกิดความวุ่นวาย
อันเป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา
215 ดังนั้นมาตรา 216
จึงเป็นความผิดต่างหากอีกบทหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้หากเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วผู้กระทำไม่เลิกตามคำสั่งของเจ้าพนักงานก็เป็นความผิด
และได้กระทำต่อไปจนเป็นความผิดสำเร็จ
ตามมาตรา 215
ผู้กระทำย่อมมีความผิดทั้งตามมาตรา
215 และมาตรา 216
อันเป็นการกระทำกรรมเดียวจากเจตนาเดียวกัน
จึงต้องลงโทษตามมาตรา 216
ซึ่งเป็นบทหนัก ตามมาตรา 90
คำพิพากษาฎีกาที่ 346/2535
ประเด็นที่3
ความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์
มาตรา 217 ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6
เดือน ถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่
1,000 บาท ถึง 14,000 บาท
ข้อสังเกต
- คำว่า ทรัพย์ คือ
สังหาริมทรัพย์ หรือ
อสังหาริมทรัพย์ก็ได้ (
ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 552/2475 )
- ทรัพย์ที่เผาต้องเป็นของผู้อื่น
การเผาเรือนของตนเองไม่เป็นความผิด
(คำพิพากษาฎีกาที่ 389/2483) หากเผาทรัพย์ที่ตนเองเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไม่มีความผิดตามมาตรานี้
เพราะไม่ใช่ทรัพย์ของผู้อื่น
(คำพิพากษาฎีกาที่ 747/2484)
ต่อมามีคำพิพากษาฎีกาที่ 3043/2526
และคำพิพากษาฎีกาที่ 5364/2536,5710/2541
วินิจฉัยอย่างเดียวกัน)
- ตามมาตรานี้
จำเลยลอบเข้าไปในศาลแล้วเอาสำนวนความแพ่งและอาญาราดน้ำมันเผาไฟเสีย
มีผู้จับได้
ยังไม่ทันลุกลามไปไหม้ศาล
ดังนี้จำเลยมีความผิดตามมาตรา
217 นี้ (ตามคำพิพากษาฎีกาที่
377/2461)
- แต่ถ้าเจ้าของทรัพย์ยินยอมให้เผาก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้
แต่อาจเป็นความผิดตามมาตรา
220 และมาตรา 358 ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่
533/2484)
- กฎหมายมาตรานี้ใช้คำว่า
วางเพลิงเผาทรัพย์
ฉะนั้น ทรัพย์จึงต้องติดไฟด้วย
จึงจะเป็นความผิดสำเร็จ
แต่ไม่จำเป็นต้องไหม้ทั้งหมด
เพียงแต่ไหม้บางส่วนก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
คำพิพากษาฎีกาที่
495/2479 เผาหลังคาเรือนมีคนดับเสียก่อนเพลิงไหม้
จาก ไป4ตับ เป็นความผิดสำเร็จ
คำพิพากษาฎีกาที่ 66-67/2471 จำเลยขนน้ำมันเบนซินมา
12 ปีบ
เทราดน้ำมันนองพื้นกระดาน
น้ำมันที่เหลือวางเรียงรายตามพื้นชั้นบนและชั้นล่าง
เอากระดาษหนังสือพิมพ์ชุบน้ำมันวางเรียงรายเป็นชนวน
จุดธูปปักอยู่ในห่อกระดาษดินปืน
ธูปไหม้เหลือเพียงอีกองคุลีจะถึงดินปืน
มีผู้พบเห็นเสียก่อนเพลิงจึงไม่ลุกไหม้
ถือเป็นการกระทำความผิดแล้วพ้นขั้นตระเตรียม
จำเลยมีความผิดฐานพยายามวางเพลิง
คำพิพากษาฎีกาที่
5544/2531 การกระทำที่จะเป็นความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์นั้นไม่หมายความเพียงว่า
เอาเพลิงไปวางเท่านั้น
หากต้องเป็นการเผาทำให้เกิดเพลิงไหม้ทรัพย์นั้นติดไฟขึ้นด้วย
เพียงแต่ทรัพย์มีรอยเกรียมแต่ยังไม่ไหม้ไฟ
ยังถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดสำเร็จ
คงเป็นความผิดฐานพยายามเท่านั้น
คำพิพากษาฎีกาที่
2829/2532 การกระทำที่เป็นความผิดสำเร็จฐานวางเพลิงเผาโรงเรือนนั้น
ไม่หมายความเพียงเอาเพลิงไปวางเท่านั้น
หากต้องเป็นการเผาทำให้เกิดเพลิงไหม้โรงเรือนนั้นลุกติดไฟขึ้นด้วย
เพียงแต่ฝาผนังอันเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรือนมีรอยเขม่าดำแต่ยังไม่ไหม้ไฟ
ยังถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดสำเร็จ
แม้จะมีทรัพย์สินอื่นบางรายการ
เช่น
เครื่องเรือนถูกไฟลุกไหม้ด้วย
ก็ถือไม่ได้ว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรือนซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยได้ถูกไฟไหม้ด้วย
การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายามวางเพลิงเผาโรงเรือนตามมาตรา
218 , 80 เท่านั้น
คำพิพากษาฎีกาที่ 1004/2531 ต้องเป็นการจุดไฟจนเพลิงติดเชื้อลุกขึ้นแล้ว
แม้จะดับทันก็เป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา
217
- การกระทำโดยสำคัญผิดว่าทรัพย์เป็นของตนเองหรือสำคัญผิดว่าเจ้าของยินยอม
ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ (ตามคำพิพากษาฎีกาที่
814/2479)
มาตรา 218 ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ดังต่อไปนี้
- โรงเรือน เรือ หรือแพที่คนอยู่อาศัย
- โรงเรือน เรือ
หรือแพอันเป็นที่เก็บหรือทำสินค้า
- โรงมหรสพหรือสถานที่ประชุม
(ต้องเป็นสถานที่ประชุมถาวร)
- โรงเรือนอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
เป็นสาธารณสถาน
หรือเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรมตามศาสนา
- สถานีรถไฟ
ท่าอากาศยานหรือที่จอดรถหรือเรือสาธารณะ
- เรือกลไฟ หรือเรือยนต์
อันมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป
อากาศยานหรือรถไฟที่ใช้ในการขนส่งสาธารณะ
ต้องระวางโทษประหารชีวิต
จำคุกตลอดชีวิต
หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี
ข้อสังเกต
- มาตรา 218 เป็นเรื่องของโทษหนักขึ้นเท่านั้น
หลักเกณฑ์ต่างๆก็ต้องใช้มาตรา
217 อยู่นั่นเอง
คำพิพากษาฎีกาที่
5364/2536 กรณีตามมาตรา
218 ต้องเป็นความผิดตามมาตรา 217
เสียก่อนถ้าไม่เป็นความผิดตามมาตรา
217
แม้จะกระทำต่อทรัพย์ตามมาตรา
218
ก็ไม่เป็นความผิดฐานวางเพลิงตามมาตรา
218
โรงเรือน
เรือ หรือ แพ ที่ดินอยู่อาศัย
มีความหมายแคบกว่าคำว่าเคหสถาน
เพราะคำว่าเคหสถานหมายความรวมถึงบริเวณของที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยนั้นด้วย
คำว่าโรงเรือน เรือ หรือ แพ
ที่คนอยู่อาศัย
ไม่รวมถึงบริเวณที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัย
นั้นด้วย การเผาเล้าไก่
เล้าหมูหรือรั้วบ้านจึงไม่มีความผิดตามมาตรา
218
คำพิพากษาฎีกาที่
114/2531 วินิจฉัยว่า
การที่จำเลยจุดไฟเผาที่นอนในห้องของโรงน้ำชา
เพราะไม่พอใจหญิงบริการของโรงน้ำชานั้น
จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าเมื่อที่นอนถูกเผาไหม้แล้ว
อาจจะลุกลามไหม้เตียงนอนฝาผนังเพดาน
จนกระทั่งโรงน้ำชาแห่งนั้นทั้งหมดได้
เมื่อได้ความว่าโรงน้ำชานั้นมีคนอยู่อาศัยด้วย
จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานวางเพลิงโรงเรือนที่คนอยู่อาศัยตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 218(1)
คำพิพากษาฎีกาที่
6738/2537 วินิจฉัยว่า
จำเลยใช้ของเหลวไวไฟเทราดและจุดไฟให้ลุกไหม้ผู้ตาย
ขณะอยู่ในห้องทำงานของโจทก์ร่วมที่
2
บนชั้นสองของตึกแถวที่เกิดเหตุ
ซึ่งเป็นโรงเรือนที่พักอาศัยและเป็นโรงเรียนสอนตัดเสื้อ
ของโจทก์ร่วมที่ 1 ปรากฏว่า
นอกจากไฟจะลุกไหม้ผู้ตายและโจทก์ร่วมที่
2 แล้วยังลุกไหม้โต๊ะ เก้าอี้
และพื้นห้องของโจทก์ร่วมที่ 1
ดังกล่าวเสียหาย เห็นได้ว่าโดยลักษณะแห่งการกระทำของจำเลยเช่นนี้
จำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำของจำเลยดังกล่าวได้ว่าไฟต้องลุกไหม้ขึ้นภายในอาคารตึกแถวที่เกิดเหตุ
ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาวางเพลิงเผาโรงเรือนของโจทก์ร่วมที่
1 ด้วย
คำพิพากษาฎีกาที่ 115/ 2542 เผารถในโรงรถที่อยู่ติดกับอาคารที่เป็นส่วนหนึ่งของภัตตาคารและเป็นอาคารที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายกับพวก
จำเลยย่อมเล็งเห็นว่าเพลิงต้องลุกไหม้จึงมีความผิดตามมาตรา
218(1) , 217
คำพิพากษาฎีกาที่
6666/2542 จำเลยดึงรั้วไม้ไผ่ผ่าซีก
ที่ยึดติดเป็นแผง
ซึ่งเป็นรั้วบ้านของโจทก์ร่วมที่
1 แล้วนำไปเผาทำลายนั้น
เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
ตาม ป.อ. มาตรา 358 เพียงบทเดียว
มิใช่กระทำผิดหลาย
บท เพราะจำเลยมีเจตนาจะทำลายรั้วไม้ไผ่ที่ปักติดเป็นแผง
โดยนำไปเผาให้ใช้การไม่ได้เท่านั้น
การเผาแผงไม้ไผ่มิใช่เป็นการวางเพลิงเผาทรัพย์รั้วบ้านของโจทก์
เนื่องจากจำเลยมิได้วางเพลิงเผาแผงไม้ไผ่ในขณะที่มีสภาพเป็นรั้วกั้นขอบเขต
เป็นที่อยู่อาศัยของโจทก์ร่วมที่
1 อันจะต้องด้วยความผิดตาม ป.อ.
มาตรา 217 (เนติฯ 54)
สาธารณสถาน
คือตามมาตรา 1(3) สถานที่ใดๆ
ซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้
คำว่า สาธารณสถานตามมาตรา 218(4)
หมายถึงสาธารณสถานโดยเฉพาะ
เช่น
ศาลาพักร้อนตามทางเดินไม่หมายถึงสาธารณสถานเฉพาะบางส่วนที่ประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้โดยจำกัด
เช่น ร้านค้า
มาตรา 219 ผู้ใดตระเตรียม
เพื่อกระทำความผิดดังกล่าวในมาตรา
217 หรือมาตรา 218 ต้อง ระวางโทษเช่นเดียวกับพยายามกระทำความผิดนั้นๆ
คำพิพากษาฎีกาที่
557/2475 จำเลยใช้ให้ลูกจ้างเปิดปีบน้ำมันก๊าด
10 ปีบ
จำเลยเอาผ้าห่มยัดใส่ปีบ
แล้วให้ลูกจ้างนำไปวางหลังเรือนผู้อื่นซึ่งติดอยู่กับเรือนจำเลย
และให้ ฮ. คอยดูคนที่ถนน
พอขนน้ำมันได้ 3 ปีบ ฮ.
แกล้งมาบอกตำรวจมา
จำเลยสั่งให้เลิกและขนน้ำมันกลับไปตามเดิม
ต่อมาอีก 2, 3 วัน
จำเลยก็ทำเช่นเดียวกันอีก ฮ.
ก็แกล้งบอกว่าตำรวจมาอีก
จำเลยก็ขนน้ำมันกลับไปอีก
ดังนี้จำเลยเป็นเพียงตระเตรียมการจะวางเพลิง
เหตุใกล้ชิดอันจะทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นยังไม่มี
ยังไม่เป็นความผิดฐานพยายาม
แต่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 219
คำพิพากษาฎีกาที่
204/2475 เอาน้ำมันเบนซินราดบนเครื่องใช้จนเปียกโชก
โดยเจตนาจะวางเพลิงโดยจำเลย มีไม้ขีดไฟที่แขวนไว้ในกระเป๋าเสื้อที่แขวนไว้
แต่ชาวบ้านพังประตูเข้าไปขัดขวาง
ผิดฐานพยายามวางเพลิง (พ้นขั้นตระเตรียมการแล้ว)
มาตรา 220 ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใดๆ
แม้เป็นของตนเองจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น
ต้องระวางโทษไม่เกินเจ็ดปีและปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรก
เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา
218
ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา
218
ข้อสังเกต
กฎหมายใช้คำว่า วัตถุใดๆ
แม้เป็นของตนเองไม่ใช้คำว่าทรัพย์หรือทรัพย์สิน
ก็เพราะกฎหมายไม่ได้คำนึงถึงว่ามีเจ้าของหรือไม่
จะมีราคาและอาจยึดถือเอาได้หรือไม่
ถ้าเป็นวัตถุที่ไหม้ไฟได้ก็เพียงพอแล้วที่จะมีความผิดตามมาตรา
220 นี้
คำว่า จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น
หรือทรัพย์ของผู้อื่น กล่าวคือ
ไม่จำต้องเกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่นเพียงแต่น่าจะเป็นอันตรายก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
(เป็นพฤติการณ์ประกอบการกระทำ)
คำพิพากษาฎีกาที่
36/2461 จำเลยเอาเพลิงจุดเผากอไผ่ในไร่ของจำเลย
ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ
2 เส้น เวลานั้นลมพัดจัด มีผู้ห้ามจำเลย
จำเลยก็ไม่ฟังขืนจุด
ลมพัดเอาลูกไฟปลิวไปตกไหม้บ้านลุกลาม
ไป 70 หลัง เป็นความผิดตามมาตรา
220
คำพิพากษาฎีกาที่
703/2500 จำเลยจุดไฟเผากิ่งไม้แห้งในไร่จำเลยไฟได้ไหม้ต้นมะพร้าว
ต้นกล้วยของผู้เสียหายแต่ดับได้ก่อนไหม้โรงข้าว
เป็นความผิดตามมาตรา 220
วรรคแรกไม่เป็นความผิดตามมาตรา
220 วรรคสอง
คำพิพากษาฎีกาที่
1048/2494 จำเลยจุดไฟเผาป่าไผ่ขณะที่ลมแรง
ที่ที่จำเลยจุดไฟมีป่าไผ่ติดต่อกันอยู่เป็นพืด
200 กอ แห้งบ้างสดบ้าง
ใกล้ๆกันนั้น
มีบ้านเรือนราษฎรอยู่หลายหลัง
เมื่อมีผู้มาห้ามจำเลยจำเลยก็ไม่ฟัง
ขืนจุดจนได้เป็นเหตุให้ไฟไหม้กอไผ่ขึ้นแล้วลูกไฟปลิวไปตกไหม้บ้านเรือนผู้เสียหายหมด
ดังนี้การกระทำของจำเลยเป็นการจุดไฟเผากอไผ่ที่น่าจะเป็นอันตรายต่อผู้อื่นเป็นความผิดตามมาตรา
220
คำพิพากษาฎีกาที่
504/2494 จำเลยจุดไฟเผากอไผ่ของจำเลย
ขณะนั้นมีลมพัดแต่เพียงเล็กน้อย
ตามธรรมดาของฤดูกาลในเวลานั้น
ภายหลังเกิดลมกล้าขึ้น พัดเอาลูกไฟไปไหม้เรือนของผู้อื่น
ซึ่งอยู่ห่างออกไป 5 เส้น
เห็นได้ว่าจำเลยไม่อาจคาดคิดเห็นได้
ในขณะจุดไฟเผากอไผ่
จะถือว่าจำเลยจุดเผากอไผ่ในลักษณะอันน่ากลัวว่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่นไม่ได้
คำพิพากษาฎีกาที่
1715/2527,1285/2529 การกระทำของจำเลยเป็นไปตามปกติธรรมดาของชาวสวนชาวไร่ทั่วไป
ซึ่งบุคคลในขณะจุดไฟย่อมไม่คาดคิดถึงผลการกระทำของตนว่า
เพลิงจะลุกลามไปจนน่าจะเป็นอันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่น
ตามมาตรา 218 นี้ คำว่า
น่าจะเกิดอันตรายต่างกับ
เจตนาย่อมเล็งเห็นผลว่าจะเกิดอันตราย
คือเพียงแต่น่าเกิดอันตรายยังไม่เป็นการเล็งเห็นผลว่าจะเกิดอันตรายขึ้นแน่ๆ
อันจะกลายเป็นเจตนาต่อผลอันเป็นอันตรายที่เกิดขึ้นนั้นเสียทีเดียว
คำพิพากษาฎีกาที่
2190/2531 จำเลยทั้งสองจุดไฟเผาไม้ในที่ดินของตน
จนน่าจะเป็นอันตรายแก่สวนยางพาราของผู้อื่น
กับมิได้เตรียมป้องกันมิให้เพลิงลุกไหม้สวนยางข้างเคียง
เพียงแต่ใช้ไม้ตีให้ดับเท่านั้น
ไม่เป็นการระมัดระวังอย่างเพียงพอ
เมื่อดับไฟไม่ได้
และไฟได้ลุกลามไปไหม้สวนยางของผู้เสียหาย
จึงเป็นความผิด มาตรา 220
วรรคหนึ่งและมาตรา 225
- ตามวรรคสอง
มีความหมายเพียงแต่ว่า
ให้ผู้กระทำต้องระวางโทษตาม
มาตรา 218 เท่านั้น
ไม่ได้หมายความว่า
การกระทำเป็นความผิดตามมาตรา
218 ฉะนั้นหากมีคนตาย
จะนำมาตรา 224
มาลงโทษผู้กระทำไม่ได้
เพราะมาตรา 218
เป็นการกระทำโดยเจตนา
ถ้อยคำในวรรค 2
แสดงว่าเป็นผลที่ทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น
จึงต้องเป็นไปตามมาตรา 63 ความ
รับผิดในผลธรรมดาที่ย่อมเกิดขึ้นได้ตามมาตรา
นี้
เป็นความรับผิดในผลที่เกิดขึ้นเกินกว่าที่ผู้กระทำมีเจตนาให้
เกิดผลตามมาตรานี้
ยังไม่ถึงขนาดเป็นผลที่ผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลตามมาตรา
59
มาตรา 221 ผู้ใดกระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น
ข้อสังเกต
คำว่า ระเบิด หมายความว่า
ปะทุแตกออกไป
ทำให้ปะทุแตกออกไป กระทำให้เกิดระเบิดจึงหมายความว่า
การทำให้ปะทุแตกออกไปจากสภาพวัตถุเดิมด้วยกำลังแรงของระเบิดนั้น
คำพิพากษาฎีกาที่
210/2498 การกระทำที่เป็นความผิดตามมาตรา
221
ต้องเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นโดยเจตนาถ้าเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นโดยประมาทจะไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้
มาตรา 222
ผู้ใดกระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ดังกล่าวใน
มาตรา 217,218
ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ
ข้อสังเกต
คำว่า เกิดอันตรายแก่ทรัพย์
นั้นไม่ว่าจะเกิดทั้งหมดหรือบางส่วนก็ต้องถูกลงโทษตาม
มาตรานี้
คำพิพากษาฎีกาที่
605/2521 ห้องแถว 2
ชั้น ชั้นล่างเป็นร้านขายของ
ชั้นบนเป็นห้องนอน
ถือได้ว่าใช้อยู่อาศัยทั้งชั้นบนชั้นล่าง
จำเลยขว้างระเบิด
ทำให้ฝาบ้าน ประตู
กระจกช่องลมชั้นล่างเสียหาย
เป็นความผิดตามมาตรา 222,218
คำพิพากษาฎีกาที่ 234/2528 ระเบิดเป็นอาวุธร้ายแรง
เมื่อถอดสลักแล้วย่อมต้องระเบิดขึ้นทำอันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินได้
จำเลยทำให้เกิดระเบิดโดยเจตนาฆ่าตัวตาย
เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย
จึงเป็นความผิดตามมาตรา 222
มาตรา 224 ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในมาตรา
217 ,218,221,222 เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย
ต้องระวางโทษประหารชีวิต,จำคุกตลอดชีวิต
ถ้าเป็นเหตุให้บุคคลอื่นรับอันตรายสาหัส
ผู้กระทำต้องระวางโทษ
ประหาร จำคุกตลอดชีวิต
หรือจำคุกตั้งแต่ 10ปี ถึง 20 ปี
- มาตรานี้
ผลที่เกิดคือความตายและหรืออันตรายสาหัส
ต้องเป็นผลที่ตามธรรมดาย่อมเกิดขึ้น
ตาม มาตรา 63 คำพิพากษาฎีกาที่
1412/2504 (ป) การเข้าไปช่วยดับไฟเป็นเหตุให้
หมู ตาย
เพราะการกระทำของหมูเองไม่ใช่ตายเพราะการวางเพลิง
หมึกจึงไม่ต้องรับโทษตามมาตรานี้
- มาตรานี้ไม่ได้บัญญัติถึง
มาตรา 220 ด้วย
ฉะนั้นหากผู้กระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใดๆ
แม้เป็นของตนเอง
เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายหรือรับอันตรายสาหัส
จะนำมาตรานี้มาใช้ไม่ได้
มาตรา 225 ผู้ใดทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท
และเป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย
หรือการกระทำโดยประมาทนั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี
หรือปรับไม่เกินหรือปรับไม่เกิน
หนึ่งหมื่นสี่พันบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 225
แยกการกระทำความผิดเป็น 2
กรณี คือ 1.ทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท
และเป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย
กรณีหนึ่ง
หรือ
2.ทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทและน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น
(แสดงว่าต้องตาย)
อีกประการหนึ่ง
มีข้อสังเกต
เกี่ยวกับมาตรา 225 คือ
- ทำให้เกิดเพลิงไหม้
ไม่จำกัดว่าจะต้องทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์หรือวัตถุใดๆ
อาจเป็นทรัพย์ของตนเอง
ของผู้อื่น
หรือทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของก็ได้
- โดยประมาท
เป็นการกระทำโดยไม่มีเจตนา
แต่การทำโดยปราศจากความระมัดระวังตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 วรรคสี่
- กระทำให้เกิดเพลิงไหม้มี 2
ลักษณะ คือ
- อาจจะเป็นกรณีที่เพลิงยังไม่มีอยู่แล้วไปกระทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น
หรือ
- อาจเป็นกรณีที่มีเพลิงไหม้อยู่ก่อนแล้ว
และกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้เพลิงลุกลามไหม้ต่อไป
- เป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย
กรณีที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ทรัพย์ที่เสียหาย
จะต้องเป็นทรัพย์ของผู้อื่นเท่านั้น
เช่นเดียวกับมาตรา 217,218
ถ้าเป็นทรัพย์ของตนเองหรือทรัพย์ที่ผู้อื่นเป็น
- เจ้าของรวมอยู่ด้วยไม่เป็นความผิดหรือถ้าทรัพย์ของผู้อื่นไม่เสียหาย
เพียงแต่น่าจะเสียหายก็ไม่เป็นความผิดเช่นเดียวกัน
- น่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของผู้อื่น
ตามกรณีนี้เพียงแต่น่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของผู้อื่นก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
และต้องเป็นกรณีเกี่ยวกับชีวิตเท่านั้น
ถ้าเป็นอันตรายแก่กายไม่เป็นความผิด
หรือน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของตนเองก็ไม่เป็นความผิดเช่นเดียวกัน
คำพิพากษาฎีกาที่ 1285/2529 จุดไฟเผาฟางข้างในนาของตนเองมีลักษณะน่าจะเป็นอันตรายต่อทรัพย์สินของบุคคลอื่น
เช่น กำลังมีลมพัดแรงซึ่งเป็นที่คาดเห็นได้ว่าเพลิงจะลามไปไหม้นาตลอดจนโรงเรือนซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับบริเวณที่จุดไฟ
แต่จำเลยยังขืนจุดไฟจนลุกลามไปไหม้ทรัพย์สินของผู้เสียหาย
ดังนี้จำเลยจึงจะมีความผิดตามมาตรา
220
แต่เมื่อระยะเวลาที่จำเลยจุดไฟจนถึงเวลาที่บ้านผู้เสียหายถูกเพลิงไหม้ห่างกันหลายชั่วโมง
แสดงว่าไม่มีลักษณะที่น่ากลัวจะเป็นอันตรายต่อทรัพย์สินของบุคคลอื่น
ตามมาตรา 220
แต่เป็นเพราะจำเลยประมาทไม่ควบคุมดูและให้เพลิงไหม้อยู่ภายในขอบเขตจำกัด
การกระทำของจำเลยจึงเป็นเรื่องขาดความระมัดระวังจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้อื่นอันเป็นความผิดตามมาตรา
225 คำพิพากษาฎีกาที่ 2090/2526 แม้ก่อนจะจุดไฟเผาสวนของจำเลย
จำเลยได้ถางต้นไม้เพื่อกันมิให้ไฟลุกลามไปติดสวนของผู้อื่น
แล้วไฟที่จำเลยจุดมิได้ลุกลามติดสวนของผู้เสียหายในทันทีก็ตาม
แต่การที่จำเลยมิได้ใช้ความระมัดระวังตรวจตราดูแลดับไฟที่จำเลยจุดเผาสวนไว้ก่อนเกิดเหตุ
3 ถึง 4 วัน ให้หมดไป ปล่อยให้ติดคุขอนไม้จนเป็นเหตุให้ลุกลามไปไหม้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย
ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทและเป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้เสียหาย
จำเลยมีความผิดตามมาตรา 225
คำพิพากษาฎีกาที่ 1211/2530 (ป) ปั้มติ๊ก
ประเด็นที่ 4
ใช้ยานพาหนะรับจ้างโดยสารจนน่าจะเป็นอันตราย
มาตรา 233 ผู้ใดใช้ยานพาหนะรับจ้างขนส่งโดยสารเมื่อยานพาหนะนั้นมีลักษณะหรือมีการบรรทุก
จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในยานพาหนะนั้น
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินสองพันบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข้อสังเกต
คำว่า
ยานพาหนะ จะเป็นรถ
หรือ เกวียน แพ
หรืออากาศยานก็ไม่จำกัด
คำว่า รับจ้าง
มาตรานี้จะเป็นความผิดก็ต่อเมื่อเป็นการใช้ยานพาหนะรับจ้าง
ถ้าไม่รับจ้างก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรา
นี้ การรับจ้างต้องเป็นการกระทำเพื่อบำเหน็จค่าจ้าง
การขนส่งโดยไม่มีบำเหน็จจึงมิใช่การรับจ้างตามมาตรา
233
ยานพาหนะนั้น
มีลักษณะหรือมีการบรรทุกจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในยานพาหนะนั้น
เช่น พวงมาลัยรถยนต์หลวม
ห้ามล้อชำรุด ยางไม่ดี
หรือบรรทุกจนเพียบเกินขนาดหรือสูงเกินไป
เป็นต้น
เป็นข้อเท็จจริงที่ผู้กระทำต้องรู้
แต่สภาพเช่นนั้นน่าจะเป็นอันตรายหรือไม่เป็นข้อเท็จจริง
ต้องพิจารณาจากความรู้ของคนทั่วไป
อัตราที่กำหนดในใบอนุญาต
เป็นเพียงเหตุผลประกอบการวินิจฉัยไม่ถือว่าถ้าเกินอัตรานั้นแล้วยานพาหนะนั้นจะต้องอยู่ในลักษณะน่าจะเป็นอันตรายไปในตัว
เพียงแต่บรรทุกคนในเรือโดยสารเกินอัตรา
แต่ไม่เพียงผิดธรรมดายังไม่เป็นความผิดฐานนี้
(ฎ. 1073/2464)
คำพิพากษาฎีกาที่ 1281-1282/2538 วินิจฉัยอธิบายว่า
คำว่าน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในยานพาหนะไม่ใช่ผลของการกระทำ
เมื่อจำเลยใช้เรือบรรทุกโดยสารจนมีลักษณะน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในเรือนั้นแม้ยังไม่มีความเสียหายก็เป็นความผิดสำเร็จ
คำพิพากษาฎีกาที่
153/2506 (ป) รถยนต์สาธารณะบรรทุกเกินกำหนดในใบอนุญาตถึงกับเกาะข้างและท้ายรถ
ขึ้นนั่งบนหลังคาซึ่งมีก้อนน้ำแข็งใหญ่กว่า
10
ก้อนเป็นการบรรทุกจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในยานพาหนะนั้น
มีความผิดตามมาตรานี้
-
ยานพาหนะรับจ้างขนส่งโดยสาร
หมายถึงเฉพาะผู้ใช้ยานพาหนะรับจ้างขนส่งคนโดยสารเท่านั้น
มาตรานี้
ประสงค์จะลงโทษแต่เฉพาะผู้ใช้ยานพาหนะรับจ้างขนส่งคนโดยสารไม่รวมถึงรับจ้างขนของ
, ผู้ที่ไม่ได้รับจ้าง
- ตามมาตรานี้บุคคลที่น่าจะได้รับอันตรายเป็นบุคคลในยานพาหนะนั้นมิใช่บุคคลภายนอกยานพาหนะ
คำพิพากษาฎีกาที่ 1073/2464 จำเลยเป็นเจ้าของเรือกลไฟ
วันเกิดเหตุจำเลยนำเรือไปใช้รับส่งคนโดยสารบรรทุกเกินอัตราในใบอนุญาต
ต่อมาเรืออับปางและล่มจมลงคนโดยสารจมน้ำตายหลายคน
ข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาวินิจฉัยคือ
เหตุที่เรืออับปางจมลงนั้นได้ความว่าถูกพายุพัดจัด
อย่างนี้จำเลยไม่มีความผิด
เพราะคดีได้ความแต่เพียงว่าจำเลยนำเรือกลไฟมารับคนโดยสารโดยบรรทุกเกินอัตราเท่านั้น
โจทก์ไม่ได้นำสืบให้ปรากฏที่เรืออับปางจมลงเป็นเพราะอะไร
เช่น
บรรทุกเพียบเกินขนาดหรือไม่
กลับปรากฏเพราะพายุจึงจมลง
เพียงแต่จำเลยรับคนโดยสารเกินขนาดไม่พอชี้ขาดลงโทษจำเลยตามมาตรานี้ได้
แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่าน่าจะเป็นอันตรายจะดูแต่เพียงว่าบรรทุกเกินอัตราไม่พอ
แต่การบรรทุกเกินอัตราเป็นเหตุประกอบอันหนึ่งที่ศาลจะวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่
- คำว่า
น่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในยานพาหนะ
ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 233 เป็นพฤติการณ์ประกอบการกระทำไม่ใช่ผลของการกระทำ
เมื่อเรือนั้นมีลักษณะหรือมีการบรรทุกจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในเรือ
แม้ยังไม่มีความเสียหายก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
คำพิพากษาฎีกาที่
1281-1282/2538 จำเลยที่ 2 ถึง
จำเลยที่ 4
ตกลงเป็นหุ้นส่วนซื้อเรือเอี้ยมจุ้นมาต่อเติมดัดแปลงเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันในกิจการท่องเที่ยว
โดยจำเลยที่ 2
มีหน้าที่ไปติดต่อขอซื้อเรือของกลางและ
เรือที่
พลิกคว่ำ จำเลยที่ 3
มีหน้าที่ในการออกแบบและต่อเติมเรือทั้งสองลำให้เป็น
2 ชั้น และได้จ้างจำเลยที่ 1
ขับเรือของกลาง
ซึ่งมีลักษณะน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในเรือไปในการรับจ้างขนส่งคนโดยสารด้วยการบรรทุกจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในเรือนั้น
จึงเป็นกรณีที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกระทำความผิดด้วยกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา
83 (เนติฯ53)
ประเด็นที่ 5
ความผิดฐานปลอมปน
มาตรา 236
ผู้ใดปลอมปนอาหาร
ยาหรือเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นใด
เพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้และการปลอมปนนั้นน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพหรือจำหน่าย
หรือเสนอขายสิ่งเช่นว่านั้น
เพื่อบุคคลเสพหรือใช้
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกพันบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข้อสังเกต
- ปลอมปน มีความหมายว่า
ทำให้ไม่บริสุทธิ์โดยเอาของอื่นผสมลงไปไม่ได้หมายความว่าต้องทำให้หลงว่าเป็นของแท้
- การปลอมปนนั้นต้องทำเพื่อให้คนอื่นเสพหรือใช้
จึงจะผิดตามมาตรานี้
การปลอมปนเพื่อตนเองเสพ
หรือใช้ ไม่เป็นความผิด
แต่ถ้าปลอมปนเพื่อตนเองและผู้อื่นเสพด้วยกันก็เป็นการปลอมให้ผู้อื่นเสพด้วยอยู่ในตัวจึงมีความผิด
คำพิพากษาฎีกาที่ 64/2465
คำพิพากษาฎีกาที่
2143/2536
จำเลยเอายาเบื่อหนูใส่ในโอ่งน้ำดื่มของผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
ผู้เสียหายทราบเสียก่อนไม่ยอมดื่มน้ำดังกล่าว
ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตาย
การกระทำของจำเลยเข้าลักษณะเป็นการปลอมปนเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้และการปลอมปนนั้นน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพ
จำเลยจึงมีความผิดตามมาตราประมวลกฎหมายอาญามาตรา
236 และมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80
กรณีเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
ลงโทษตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80
ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา 80
- การปลอมปนต้องมีพฤติการณ์ประกอบการกระทำ
คือ
ต้องถึงขนาดที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพ
เช่น ทำให้เกิดอาการร้อนคอ
อาเจียน อ่อนเพลีย
หรือวิงเวียน เป็นต้น
พฤติการณ์ที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพนี้มิใช่เป็นผลของการกระทำ
ดังนั้น
แม้ว่าจะยังไม่เกิดผลคือ
อันตรายแก่สุขภาพการกระทำดังกล่าวก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
คำพิพากษาฎีกาที่
59/2459 จำเลยนำพลูจีบใส่สารหนูให้เขากินเขากินแล้วไม่ตาย
แพทย์ตรวจแล้วรู้ว่ามีสารหนูแต่ไม่รู้ว่ามีสารหนูมากน้อยเท่าใด
อันสารหนูถ้ากินมากก็ตายกินน้อยไม่ตาย
ดังนี้เป็นความผิดฐานปลอมปนอาหารตามมาตรานี้แล้ว
คำพิพากษาฎีกาที่
312/2460 จำเลยเป็นลูกจ้างได้ลอบนำยาเบื่อมาเจือลงในหม้อข้าวที่หุงให้นายจ้างรับประทานรู้สึกมึนเมาและวิงเวียนศรีษะมีความผิดตามมาตรานี้
จำหน่าย
= ขาย แจก
แลกเปลี่ยน เอาออก
คำว่า ขาย
=
เอาของแลกเงินตรา
จำหน่าย
มีความหมายกว้างกว่า
ขาย
ฉะนั้น หากจำเลยแจก,แลกเปลี่ยน
ก็อาจเป็นการจำหน่าย
ส่วนขายถ้าจำเลยเสนอขายก็เป็นความผิด
แต่ถ้าเสนอแจก
เสนอแลกเปลี่ยน
ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้
คำว่า ผู้ใดปลอมปนเพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้และการปลอมปนนั้นน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพ
กฎหมายมุ่งเอาผิดเฉพาะกรณีที่จำเลยมีเจตนาปลอมปนเพื่อให้บุคคลอื่นเสพ
หรือ
ใช้โดยน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพเท่านั้น
หากปลอมปนเพื่อจะฆ่าจำเลยจะมีความผิดฐานเจตนาฆ่า
(คำพิพากษาฎีกาที่ 884/2471 )
มาตรา 237 ผู้ใดเอาของที่มิพิษหรือสิ่งอื่นที่น่าจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพเจือลงในอาหารหรือน้ำซึ่งอยู่ในบ่อ
สระ หรือที่น้ำขังใดๆ และอาหารหรือน้ำนั้นได้มีอยู่หรือจัดไว้เพื่อประชาชนบริโภค
ข้อสังเกต
ของที่มีพิษ
คือของทุกชนิดที่มีพิษที่น่าจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพ
คำว่า น้ำซึ่งอยู่ในบ่อสระหรือขังน้ำใดๆ
คือ
ไม่ใช่น้ำที่ไหลไปตามแนวทางเรื่อย
ๆ น้ำที่ขังไว้ในโอ่งในขวด
เป็นน้ำที่ขังไว้ตามความในมาตรานี้
คำว่า ประชาชน
คือบุคคลทั่วๆไป
ไม่จำกัดดังเช่น มาตรา 236
ที่กำหนดว่า
เพื่อบุคคลอื่นเสพ
- มาตรานี้ อ.สุปัน พูลพัฒน์
อธิบายว่า
เอายาพิษโรยลงในอาหารหรือน้ำแล้วเป็นความผิดสำเร็จทันที
ไม่จำต้องมีประชาชนมาบริโภค
แต่ ถ้ามีประชาชนมาบริโภคแล้วตายหรือได้รับอันตรายสาหัส
ก็จะมีความผิดตามมาตรา 238
- การจะลงโทษได้ผู้กระทำจะต้องรู้ว่าเป็นของที่มีพิษหรือสิ่งอื่นนั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพและต้องรู้ด้วยว่าอาหารหรือน้ำที่เอาของมีพิษหรือสิ่งอื่นเจือลงนั้น
ได้มีอยู่หรือจัดไว้เพื่อประชาชนบริโภคด้วย
ถ้าไม่รู้ผิดเพียงมาตรา 236
เท่านั้น
มาตรา 238 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา
226 -237 เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต
หรือจำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 20 ปี
และปรับตั้งแต่ 10,000บาท ถึง 40,000
ถ้าเป็นเหตุให้คนอื่นรับอันตรายสาหัสต้องระวางโทษ
จำคุกตั้งแต่หนึ่งถึงสิบปี
และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท
ข้อสังเกต
- มาตรานี้เป็นบทหนักขึ้นกว่ามาตรา
226-237
ฉะนั้นความตายหรืออันตรายสาหัส
จะต้องเป็นผลโดยตรงมาจากการกระทำความผิดและเป็นผลตามธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้ตามมาตรา
63
ถ้าเป็นผลมาจากเหตุอื่นผู้กระทำความผิด
ไม่มีความผิดตามมาตรานี้
คำพิพากษาฎีกาที่
153/2506 ก.
ขับรถยนต์โดยสารที่บรรทุกคนและของในรถจนน่ากลัวอันตรายเป็นความผิดตาม
มาตรา 233แต่ก็ขับไปโดยปลอดภัยถึงสามสิบกิโลเมตร
ก. ขับเร็วเกินอัตรามากยางล้อหลังด้านซ้าย
ระเบิด รถแฉลบ
ตกถนนลงคูตะแคงคนโดยสารตาย 1
คนบาดเจ็บหลายคน
ข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่ารถคว่ำคนตายเพราะขับรถเร็ว
ไม่ใช่เพราะบรรทุกจนน่าอันตราย
ไม่เป็นความผิดที่ต้องลงโทษ
หนักขึ้นตามมาตรานี้
ศาลฎีกาอธิบายว่า
จำเลยมีความผิดตามมาตรา 238
ต่อเมื่อการกระทำตามมาตรา 233
เป็นเหตุให้คนโดยสารถึงแก่ความตายหรือรับอันตรายสาหัสเท่านั้น
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ความว่า
เหตุที่รถคว่ำเพราะจำเลยขับรถเร็วอันเป็นการประมาทเป็นเหตุให้คนตายและได้รับอันตรายสาหัส
หาใช่เนื่องจากเหตุบรรทุกคนโดยสารจนน่าจะเป็นอันตรายตามมาตรา
233 ไม่ จึงลงโทษตาม 238 ไม่ได้
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้คนตายและได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา
291 และมาตรา 230
ประเด็นที่ 6
ความผิดฐานปลอมแปลงเงินตรา
ปลอมเงินตรา มาตรา 240 ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งเงินตรา
ไม่ว่าจะปลอมขึ้นเพื่อให้เป็นเหรียญกษาปณ์
ธนบัตรหรือสิ่งอื่นใด
ซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อำนาจให้ออกใช้หรือทำปลอมขึ้นซึ่งพันธบัตรรัฐบาลหรือใบสำคัญสำหรับรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้น
ๆ
ผู้กระทำความผิดฐานปลอมเงินตรา
ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต
หรือจำคุกตั้งแต่สิบปี ถึง
ยี่สิบปี
และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
ข้อสังเกต
ตาม พ.ร.บ. เงินตรา พ.ศ. 2501 มาตรา 6
เงินตราคือ
เหรียญกษาปณ์และธนบัตร
คำว่า รัฐบาล
หมายถึงรัฐบาลไทย
เงินตราที่ปลอมเป็นความผิดต้องมีเงินตราจริงออกใช้และยังไม่ได้เลิกใช้
คำว่า ทำปลอม
คือ กระทำโดยตั้งใจให้เหมือนของจริง
คือดูที่เจตนาของผู้กระทำไม่ได้ดูที่ผลว่าเหมือนของจริงมากน้อยเพียงใด
คำพิพากษาฎีกาที่
744/2521 วินิจฉัยว่าการปลอมผิดจากของจริงที่ตั้งใจทำให้เหมือนมากน้อยเพียงใดไม่สำคัญ
เส้นสีแดงที่กระดาษของกลางต่างกับของแท้
ไม่จำเป็นต้องให้เหมือนกับของแท้
หรือของปลอมก็เป็นความผิดตามมาตรานี้
คำพิพากษาฎีกาที่
3493/2532 ทดลองทำเหรียญ
50 สตางค์ปลอม
แต่ยังไม่เหมือนของจริงต้องทดลองทำอีก
ดังนี้เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
คำพิพากษาฎีกาที่
1394/2522 เหรียญห้าบาทปลอมของกลางมีแร่เหล็กและสังกะสีผสมอยู่ทำให้ด้านไม่ขึ้นเงา
จำเลยใช้น้ำยาขัดเหรียญเท่านั้น
ไม่พอฟังว่าจำเลยปลอมเหรียญกษาปณ์
เพราะจำเลยไม่ได้ร่วมในการทำเหรียญปลอมมาตั้งแต่ต้น
เป็นแต่เพียงได้เหรียญปลอมมาแต่เหรียญไม่ขึ้นเงา
จำเลยจึงมาขัดให้ขึ้นเงา
- อ. จิตติ ติงศภัทิย์
เห็นว่าการทำเหรียญปลอมต้องเริ่มต้นหลอมโลหะ
ให้เป็นรูปไปจบตรงที่ปัดให้ขึ้นเงา
การขัดให้ขึ้นเงาเป็นส่วนหนึ่งของการปลอม
- การทำปลอมเมื่อทำขึ้นแล้ว
ไม่จำต้องนำออกใช้หรือนำออกแสดงให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นของแท้ก็เป็นความผิดสำเร็จ
คำพิพากษาฎีกาที่
216/2478 อนึ่งที่จำเลยเถียงว่าเงินและสตางค์ปลอมนี้ใช้ไม่ได้โดยไม่มีใครเชื่อนั้น
ฟังไม่ขึ้น
เพราะเงินและสตางค์รายนี้เมื่อตามสภาพเป็นของปลอมแล้วก็อาจมีการหลงได้
- การทำปลอมอาจทำได้หลายวิธี
การเอาเหรียญบาทที่แท้จริงแต่บุบสลายใช้ชำระหนี้
ตามกฎหมายไม่ได้
มีเครื่องหมายว่าบุบสลายแล้วในเหรียญนั้น
การทำเป็นไม่ได้มีรอยบุบสลายเป็นการปลอมเงินตรา
(ฎ.5/2477)ธนบัตรที่ฉีกใช้ชำระหนี้ไม่ได้ตามกฎหมาย
นำมาต่อกันจะผิดหรือถูกก็ไม่เป็นธนบัตรที่ใช้ชำระหนี้ได้เป็นธนบัตรชำรุดตาม
พ.ร.บ. เงินตรา
ไม่เป็นเงินตราที่ผู้ที่ได้มานำไปแลกไม่เป็นการปลอมเงินตรา
- กฎหมายใช้คำว่า
ทำปลอม
ฯลฯ เพื่อให้เป็น... จึงต้องมีเจตนาพิเศษคือ
เพื่อให้เป็นเหรียญกษาปณ์
ธนบัตร
หรือสิ่งอื่นใดซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อำนาจออกใช้
คำพิพากษาฎีกาที่ (ร.ศ.)574/127
วินิจฉัยว่า
จำเลยนำเงินกลมเหมือนเงินบาทของรัฐบาลแต่ใหญ่กว่า
ประทับตราแต่ไม่ใช่ตราของรัฐบาลแล้วนำไปหลอกขายคนอื่นว่าเป็นเงินตราสมัยเก่าเพิ่งขุดได้
ผู้อื่นหลงเชื่อ จึงซื้อไว้ดังนี้จำเลยผิดฐานฉ้อโกง
ไม่ผิดฐานปลอมเงินตรา
เพราะเจตนาอย่างอื่นไม่ใช่เจตนาปลอมเพื่อให้เป็นเงินตรา
มาตรา 241 ผู้ใดแปลงเงินตรา
ไม่ว่าจะเป็นเหรียญกษาปณ์
ธนบัตร หรือสิ่งอื่นใด ซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อำนาจให้ออกใช้
หรือแปลงพันธบัตรรัฐบาล
หรือใบสำคัญสำหรับดอกเบี้ย
พันธบัตรนั้นๆ ให้ผิดไปจากเดิม
เพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีมูลค่าสูงกว่าจริง
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานแปลงเงินตรา
ข้อสังเกต
- การกระทำความผิดตามมาตรานี้ต้องมีเจตนาพิเศษคือเพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีมูลค่าสูงกว่าจริงและต้องกระทำต่อเงินตราที่แท้จริง
- คำว่า
มีมูลค่าสูงกว่าจริง
นี้กฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าเป็นมูลค่าเงินตราชนิดที่สูงขึ้นจึงไม่ต้องมีเงินตราที่ออกใช้เงินตามค่าที่แปลงนั้นก็ได้
เช่น แปลงจาก 10 เป็น 15
ก็เป็นความผิดตามมาตรานี้ได้
การแปลงเงินตราต้องแปลงมูลค่า
ถ้าแปลงรูปเป็นอย่างอื่นไม่มีความผิดตามมาตรานี้
การกระทำตามมาตรานี้ ต้องทำต่อเงินตราโดยตรงและมีผลเป็นการแปลงให้เชื่อว่ามีมูลค่าสูงกว่าจริงในตัวเงินตรานั้นเอง
การทำให้ตัวเลขให้เลอะเลือนเพื่อไม่ให้รู้ราคาว่าเท่าใด
ไม่เป็นการแปลง
เมื่อแปลงแล้วเป็นความผิดสำเร็จโดยไม่ต้องนำออกใช้หรือมีผู้อื่นเชื่อว่ามีมูลค่าสูงกว่าจริง
มาตรา 242 ผู้ใดกระทำโดยทุจริตให้เหรียญกษาปณ์
ซึ่งรัฐบาลออกใช้มีน้ำหนักลดลง
ผู้ใดนำเข้าในราชอาณาจักร
นำออกใช้หรือมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเหรียญกษาปณ์ที่มีผู้กระทำโดยทุจริตให้
น้ำหนักลดลงตามความในวรรคแรก
ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
ข้อสังเกต
- ต้องทำแก่เหรียญกษาปณ์โดยเฉพาะไม่เกี่ยวกับเงินตราชนิดอื่น
- คำว่า
ซึ่งรัฐบาลออกใช้
คือ
ต้องเป็นเหรียญกษาปณ์ที่ใช้หมุนเวียนอยู่ตามกฎหมาย
ค่าว่า
กระทำให้มีน้ำหนักลดลง
นั้นไม่ว่ากระทำด้วยวิธีใดๆ
หากน้ำหนักลดลงแล้วก็เป็นความผิดสำเร็จ
แต่ถ้าทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นไม่มีความผิดตามมาตรานี้
( ฎ.599/2476 )
การกระทำผู้กระทำต้องมีเจตนาทุจริต
ถ้าเจาะทำเครื่องประดับไม่ใช้อย่างเงินตรา
ไม่เป็นการทุจริตผิดมาตรานี้
การกระทำจะเป็นความผิดตามมาตรา
242 วรรค 2 นั้น การนำเข้าจะผิดสำเร็จเมื่อนำเข้ามา
การนำออกใช้หรือมีไว้เพื่อนำออกใช้ต้องมีเจตนาพิเศษคือ
การนำออกใช้และเพื่อนำออกใช้
และต้องใช้อย่างเงินตรา
ไม่ใช่ใช้เป็นตัวอย่างหรือสะสมเป็นของเก่า
ความผิดฐานนำเข้าเงินตราปลอมแปลง
มาตรา 243 ผู้ใดนำเข้าในราชอาณาจักรซึ่งสิ่งใดๆ
อันเป็นของปลอมตามมาตรา 240
หรือของแปลงตามมาตรา 241
ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ
ข้อสังเกต
- กฎหมายมาตรานี้ใช้คำว่า สิ่งใดๆ
อันเป็นของปลอม คำว่าสิ่งใดๆ
ในที่นี้หมายถึงเงินตรา
เงินตราก็คือเหรียญกษาปณ์
ธนบัตร หรือสิ่งอื่นใดซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อำนาจออกใช้
พันธบัตรรัฐบาลหรือใบสำคัญรับดอกเบี้ย
ความผิดสำเร็จเมื่อนำเข้ามาในอาณาเขตของประเทศไทย
มาตรา 244 ผู้ใดมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งสิ่งใดๆอันตนได้มาโดยรู้ว่าเป็นของปลอมตามมาตรา
240 หรือของแปลงตามมาตรา241
ข้อสังเกต
- คำว่า
โดยรู้ว่าเป็นของปลอมหรือของแปลง
นั้นต้องเป็นการรู้แต่แรก
หากรู้ภายหลังไม่ผิดตามมาตรานี้
แต่อาจเป็นความผิดตามมาตรา
245
คำพิพากษาฎีกาที่
153/2527 จำเลยนำธนบัตรปลอมฉบับละ
500 บาทออกใช้ 2 ฉบับ
และค้นพบธนบัตรปลอมจากจำเลยอื่นอีก
5 ฉบับ พฤติการณ์เช่นนี้
ทำให้เชื่อได้ว่าจำเลยทราบดีว่าธนบัตรทั้งหมดเป็นธนบัตรปลอม
จึงมีความผิดตามมาตรา 244
มีไว้
หมายถึงการยึดถือหรือครอบครอง
ไม่ต้องมีกรรมสิทธิ์
คำว่า เพื่อนำออกใช้ คือ
เมื่อแรกได้มาโดยรู้ว่าเป็นเงินปลอมหรือแปลงแต่ยังไม่คิดจะใช้
แต่ต่อมาเปลี่ยนความคิดว่าจะนำออกใช้ก็เป็นความผิดขณะนั้นจนกว่าจะเลิกคิดเลิกเจตนา
คำพิพากษาฎีกาที่
311/2463 จำเลยนำธนบัตรของกลางไปซื้อตั๋วรถไฟพนักงานเห็นว่า
เป็นธนบัตรปลอมจึงไม่รับไว้
จำเลยจึงนำธนบัตรชนิดใบละ 1
บาท อีก 3 ใบ
ออกมาซื้อตั๋วรถไฟอีกแต่ก็เป็นธนบัตรปลอมเจ้าพนักงานจึงจับกุมจำเลย
ข้อเท็จจริงปรากฏว่าธนบัตรของกลางสังเกตได้ยาก
เป็นข้อเท็จจริงที่เพิ่มขึ้นมา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ธนบัตรของกลางเป็นของสังเกตได้ยกเว้นแต่จะดูอย่างพินิจพิเคราะห์จึงจะรู้ได้
และธนบัตรของกลางมีผู้นำมาใช้ให้จำเลย
การที่จำเลยนำไปซื้อตั๋วแสดงว่าจำเลยไม่รู้
จึงไม่มีความผิดมาตรานี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 4103/2541
คำพิพากษาฎีกาที่
1655/2503 จำเลยมีธนบัตรไว้และนำออกไปขาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าต้องรู้ว่าเป็นของปลอมเพราะตามปกติไม่มีใครขายกัน
นำธนบัตรไปขายก็แสดงว่าเป็นของปลอม
คำพิพากษาฎีกาที่
143/2527 จำเลยนำธนบัตรฉบับละ
500 ออกใช้สองฉบับได้เงินทอนมา
850 บาท
และยังนำอีกหนึ่งฉบับไปซื้อของ
เมื่อถูกจับเจ้าพนักงานค้นธนบัตรได้อีก
5 ฉบับ ศาลฎีกา
วินิจฉัยว่าจำเลยทราบดีว่าธนบัตรเป็นธนบัตรปลอม
ความผิดฐานนำออกใช้ซึ่งเงินตราปลอมหรือแปลง
มาตรา 245 ผู้ใดได้มาซึ่งสิ่งใดๆ
โดยไม่รู้ว่า เป็นของปลอม ตามมาตรา
240 หรือของแปลงตามมาตรา 241 ถ้าต่อมารู้ว่าเป็นของปลอมหรือของแปลงเช่นว่ามานั้นยังขืนนำออกใช้
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี
หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข้อสังเกต
การรู้ข้อเท็จจริงว่าเป็นของปลอมหรือแปลงนั้นจะต้องรู้ก่อนนำออกใช้
ถ้าใช้โดยไม่รู้ว่าเป็นของแปลงหรือของปลอมไม่มีความผิด
คำพิพากษาฎีกาที่
210/2467 จำเลยแต่งงานก็มีคนนำธนบัตรปลอมมาให้เป็นของขวัญ
จำเลยก็เก็บไว้และนำไปเล่นไพ่
ก็มีคนบอกว่าเป็นเงินปลอม
จำเลยก็เก็บไว้
มีคนไปบอกตำรวจมาจับ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ตอนที่จำเลยนำมาเล่นไพ่ก็เป็นการใช้เงินอย่างหนึ่ง
แต่การที่จำเลยนำมาเล่นและมีคนบอกว่าเป็นเงินปลอม
จำเลยก็เก็บไว้พฤติการณ์เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าขณะที่จำเลยนำมาเล่น
นั้นจำเลยไม่รู้ และเงินนี้จำเลยก็ได้มาจากของขวัญที่เขามาให้ในงานแต่งงาน
น่าเชื่อว่าจำเลยไม่
ทราบว่าเป็นธนบัตรปลอม เมื่อรู้แล้วก็เก็บไม่ได้ขืนนำออกใช้จึงไม่เป็นความผิด
ความผิดฐานทำหรือมีไว้ซึ่งเครื่องมือสำหรับปลอมแปลงเงินตรา
มาตรา 246 ผู้ใดทำเครื่องมือหรือวัตถุสำหรับปลอมหรือแปลงเงินตราไม่ว่าจะเป็นเหรียญกษาปณ์
ธนบัตร หรือสิ่งใดๆ
ซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อำนาจให้ออกใช้
หรือสำหรับปลอมแปลงพันธบัตรรัฐบาลหรือใบสำคัญรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้นๆ
หรือมีเครื่องมือหรือวัตถุเช่นว่านั้นเพื่อใช้ในการปลอมแปลง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสามหมื่นบา
ข้อสังเกต
คำว่า เครื่องมือ
หมายถึงสภาพของเครื่องมือหรือวัตถุที่ใช้ในการปลอมหรือแปลงโดยเห็นได้ในตัวเอง
ส่วนคำว่า มี
เครื่องมือหรือวัตถุเช่นว่านั้นหมายถึงมีไว้ในความยึดถือหรือครอบครอง
คำพิพากษาฎีกาที่
1969/2505 การรับฝากเครื่องมือสำหรับทำเหรียญกษาปณ์ปลอมไว้ถือว่าเป็นการมีไว้เพื่อใช้ในการปลอมเป็นความผิดตามมาตรานี้
- จะต้องมีเจตนาพิเศษคือมีไว้เพื่อใช้ในการปลอมหรือแปลง
จึงจะมีความผิด
ถ้ามีไว้เพื่อเจตนาอย่างอื่นก็ไม่เป็นความผิด
คำพิพากษาฎีกาที่
210/2490 จำเลยมีธนบัตรใบละ
100 บาท 199 ฉบับ
เป็นธนบัตรที่รัฐบาล
ไทยสมั้ยนั้นสั่งทำมาจากประเทศญี่ปุ่นแต่ยังใช้ไม่ได้เพราะไม่มีลายมือชื่อของรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลัง จำเลยมีไว้โดยเจตนาอย่างไรไม่ปรากฏ
เจ้าพนักงานผู้จับเบิกความเป็นพยานว่าจำเลยมีไว้เพื่อประทับลายเซ็นปลอมขึ้นภายหลังและนำออกจำหน่ายอย่างธนบัตรที่สมบูรณ์หรืออาจมีไว้เพื่อจำหน่ายในสภาพเดิมก็ได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการมีวัตถุเช่นนั้นไว้หมายความว่ามีไว้ด้วยเจตนาจะใช้ในการปลอมหรือแปลงเงินตรา
โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าจำเลยมีธนบัตร
199 ใบ
เพื่อจะใช้ในการปลอมหรือแปลง
เมื่อข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าจำเลยมีธนบัตรไว้ด้วยเจตนา
เช่นนั้น
จะถือว่าจำเลยมีวัตถุเพื่อใช้ในการปลอมหรือแปลงเงินตราหาได้ไม่
จำเลยจึงไม่มีความผิด
คำพิพากษาฎีกาที่
744/2521 จำเลยมีเครื่องพิมพ์โดยเจตนาที่จะใช้พิมพ์ธนบัตรแม้ขาดอุปกรณ์บางตัว
ถ้ามีอุปกรณ์ครบก็ใช้พิมพ์ได้
จึงเป็นความผิดตามมาตรานี้
ประเด็นที่ 7
ความผิดฐานปลอมเอกสาร
***** มาตรา 264 ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด
ๆ ในเอกสารที่แท้จริง
หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสารโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใด
หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ใดกรอกข้อความลงในกระดาษหรือวัตถุอื่นใด
ซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอม
หรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของผู้นั้น
ถ้าได้กระทำเพื่อนำเอาเอกสารนั้นไปใช้ในกินการที่อาจเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน
ให้ถือว่าผู้นั้นปลอมเอกสารต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
ข้อสังเกต
- คำว่า
เอกสาร
ตามมาตรา 1(7)
หมายความว่า กระดาษหรือวัตถุอื่นใด
ซึ่งได้ทำให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษรตัวเลข
ผัง
หรือแผนแบบอย่างอื่นจะเป็นโดยวิธีพิมพ์
ถ่ายภาพหรือวิธีอื่นใดอันเป็นหลักฐานแห่งความหมายนั้น
-
วัตถุอื่นใด
เช่น
เครื่องหมายตัวอักษรและเลขที่พานท้ายปืน
, หลักเขตที่ดิน ,ป้ายทะเบียนรถยนต์และเลขหมายที่เครื่องของรถยนต์
,เครื่องหมายที่ทำไว้ที่ตัวสัตว์
คำพิพากษาฎีกาที่
1530/2522 ตัวเองไม่ได้สำเร็จวิชาแพทย์ก็อยากจะให้คนอื่นเชื่อว่าตนเองสำเร็จแพทย์ก็นำรูปคนอื่นที่รับปริญญาแพทย์ศาสตร์บัณฑิตมาและตัดรูปตนเองโดยเฉพาะใบหน้าแปะเข้าไปแล้วก็ไปถ่ายขยายติดไว้ที่บ้าน
ใครที่เห็นก็คิดว่าสำเร็จแพทย์
ดังนี้เป็นภาพที่ไม่ได้ทำให้ปรากฏความหมาย
ด้วยตัวอักษร ตัวเลข
ผังหรือแผนแบบ อย่างอื่นๆ
ตามความหมายมาตรา 1 (7)
ส่วนตัวเลข พ.ศ.
ก็ไม่ปรากฏความหมายในตัวเองไม่เป็นเอกสารปลอมและใช้เอกสารปลอม
- อ.จิตติ ติงศภัทิย์
อธิบายว่า
ภาพถ่ายคดีนี้มีความหมายแสดงชัดเจนว่าได้รับพระราชทานปริญญาบัตร
เป็นแพทย์ศาสตร์บัณฑิตโดยการสวมชุดครุยถ่ายรูป
จึงชัดแจ้งเป็นความหมายทำให้ปรากฏโดยภาพถือเป็นเอกสารที่ทำขึ้นด้วยวิธีถ่ายภาพการรับและการสวมครุยปริญญาถ่ายภาพก็แสดงให้ใครๆรู้ว่า
ตนเป็นบัณฑิตผู้ได้รับปริญญา
ตัวเลข พ.ศ.
ก็บอกอยู่ในตัวว่าได้รับเมื่อใดจะถือว่าไม่เป็นเอกสารไม่ได้
- อ.สถิตย์ ไพเราะ เห็นว่า
คดีนี้ตามที่ศาลฎีกาวินิจฉัยน่าจะเป็นว่าภาพถ่ายเดิมเป็นภาพที่ระลึก
ไม่ประสงค์เป็นหลักฐานแห่งความหมายใดๆ
ผู้ทำปลอมแปลงก็ทำเพื่อแสดงว่าตนเองได้รับปริญญาไม่เป็นเอกสารของผู้อื่นทำขึ้น
แต่เป็นเอกสารเท็จไม่ใช่เอกสารปลอม
- คำว่า ทำให้ปรากฏจะต้องเป็นการทำให้ปรากฏโดยบุคคลเป็นผู้ทำ
เช่น
ปรอทที่ทำขึ้นเป็นองศาเซลเซียสปรากฏเองโดยคนไม่ได้ทำ
จึงไม่เข้าตามความหมายของคำว่าเอกสาร
หรือนาฬิกาเดินเองไม่ได้ทำให้ปรากฏด้วยตัวบุคคล
เพราะฉะนั้นนาฬิกาก็ไม่เป็นเอกสาร
ตัวเลขมิเตอร์วัดระยะทางวิ่งไปเองโดยเราไม่ได้ทำให้ปรากฏจึงไม่เป็นเอกสาร
- คำว่า
ปรากฏด้วยความหมาย
ในที่นี้หมายความว่าจะต้องเป็นความหมายที่แสดงความคิดของผู้ทำเอกสาร
ผู้อื่นจะเข้าใจหรือไม่ไม่สำคัญ
แต่ว่าจะต้องเป็นการแสดงความคิดของผู้ทำเอกสาร
คำว่าความหมายจะต้องมีความหมายแสดงความคิดของผู้ทำ
เช่น
ดาราภาพยนตร์ลงลายมือชื่อให้กับผู้ชมภาพยนตร์ที่ไปขอ
ไม่ใช่เอกสารเพราะไม่ได้แสดงความคิดอะไรเพียงแต่ลงลายมือชื่อให้เป็นที่ระลึกเท่านั้น
รอยขีดที่จดเป็นคะแนนเป็นเอกสาร
เพราะทำให้ปรากฏความหมาย
คำว่า อันเป็นหลักฐานแห่งความหมายนั้น
หมายถึงว่าหลักฐานนั้นจะต้องปรากฏอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
เช่นเขียนข้อความลงบนพื้นทรายก็ปรากฏข้อความอยู่ชั่วระยะหนึ่ง
การปลอมเอกสารนั้น มาตรา 264
ใช้คำว่า ทำปลอมขึ้น ฉะนั้นการทำเอกสารปลอมไม่จำต้องมีเอกสารที่แท้จริง
- อ.จิตติ ติงศภัทิย์ เห็นว่า
การปลอมเอกสารไม่ต้องมีเอกสารที่แท้จริงอยู่ก่อนและไม่ต้องทำให้เหมือนจริงก็เป็นปลอมเอกสาร
เหตุที่อธิบายเช่นนี้เพราะว่าเอกสารปลอมเป็นเรื่องของ
ข้อความ ในเอกสาร
ไม่ใช่แบบฟอร์มว่ามีรูปร่างอย่างไร
คำพิพากษาฎีกาที่
1470/2496 จำเลยทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับ
แม้จะไม่มีต้นฉบับเอกสารที่แท้จริง
ก็เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารได้
คำพิพากษาฎีกาที่
1733/2514 จำเลยทำเอกสารมีข้อความเท็จทั้งสิ้นแล้วลงนามรับรองว่าเป็นสำเนาถูกต้อง
แม้ต้นฉบับที่แท้จริงไม่มีก็เท่ากับปลอมแปลงขึ้นทั้งฉบับ
เพื่อให้
เห็นว่าตนคัดมาจากต้นฉบับที่แท้จริงถือว่าเป็นการปลอมเอกสาร
เอกสารที่แท้จริง
ไม่ได้หมายความว่า
เอกสารแท้จริงนั้นเป็นจริง
เอกสารแท้จริงอาจมีข้อความเป็นเท็จก็ได้
เอกสารมิได้เกิดขึ้นได้เองต้องมีผู้ทำขึ้นและตัวเอกสารนั้นย่อมแสดงว่าผู้ใดทำขึ้นไม่จำเป็นว่าผู้ที่เอกสารแสดงว่าเป็นผู้ทำนั้นต้องมีตัวจริง
อาจปลอมเอกสารของบุคคลที่ไม่มีตัวตนก็ได้
คำว่า เอกสารปลอม
หมายถึงเอกสารที่ทำขึ้นโดยบุคคลผู้ไม่มีอำนาจ
คำว่า เอกสารเท็จ
เอกสารที่มีข้อความไม่ตรงกับความจริง
คำพิพากษาฎีกาที่
275/2461
จำเลยเป็นปลัดอำเภอจ้าง ก.
กับ ข.
ถ่อเรือจากอำเภอโพนพิสัยไปจังหวัดหนองคายโดยถ่อไปตามลำน้ำโขงตามที่นายอำเภอสั่งไปกลับ
ค่าจ้าง 4 บาท
แต่เวลาทำใบสำคัญเบิกค่าเดินทางจำเลยแจ้งจำนวนเงินค่าจ้างว่าไปกลับ
10 บาท จำเลยเอาเงินไว้ 6 บาท
โจทก์มาฟ้องว่าจำเลยปลอมเอกสารใบสำคัญเบิกเงินค่าเดินทาง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ใบสำคัญเบิกค่าเดินทางเป็นเอกสารที่ทำขึ้นจริงโดยมี
ก.
ลงชื่อไว้จริงแม้มีข้อความเป็นเท็จก็ไม่ใช่เอกสารปลอม
จำเลยไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร
คำพิพากษาฎีกาที่
2179/2524 วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบัญชีมีหน้าที่ควบคุมดูแลบัญชีกระแสรายวัน
ได้กรอกข้อความในแบบพิมพ์ใบนำฝากเงินเข้าบัญชีกระแสรายวันว่ามีการนำเช็คเงินสดมาเข้าบัญชีลูกค้าของธนาคาร
และลงชื่อในช่องลายเซ็นชื่อผู้มีอำนาจท้ายแบบพิมพ์
เอกสารที่จำเลยทำขึ้นนั้นจำเลยทำในหน้าที่ของจำเลยเอง
จำเลยไม่ได้ทำขึ้นเพื่อให้เห็นว่าเป็นเอกสารของผู้อื่นแม้ข้อความในเอกสารจะไม่เป็นความจริงโดยไม่มีเช็คมาเข้าบัญชี
ก็เป็นเพียงจำเลยทำหนังสือของจำเลยเองอันมีข้อความเป็นเท็จเท่านั้น
จำเลยยังไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิแม้จำเลยจะนำไปใช้ก็ไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
คำพิพากษาฎีกาที่
728-729/2501
จำเลยหลอกเอาสินค้าไปจากร้านโดยบอกกับพนักงานร้านว่ามีผู้ต้องการซื้อ
แล้วทำใบรับของ
ใบผลัดใช้เงินและเช็คโดยประทับตราลงชื่อห้างร้านที่จำเลยสมมุติขึ้นมามอบให้ไว้
อย่างนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารเพราะว่าเมื่ออ่านเอกสารแล้วเข้าใจว่าร้านที่จำเลยสมมุติขึ้นมาเป็นผู้ซื้อ
ก็ไปเข้าองค์ประกอบที่ว่า
เพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงของร้านที่สมมุติขึ้นเป็นผู้ซื้อ
คำพิพากษาฎีกาที่
151/2507 จำเลยใช้ชื่อปลอมในการเปิดบัญชีฝากเงินและออกเช็คเบิกเงินจากบัญชีดังกล่าวตามแผนที่วางไว้เพื่อฉ้อโกง
ดังนี้ ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
เพราะเป็นการกระทำของตนเอง
เป็นแต่ไม่ใช่นามจริงเท่านั้น
( มี ฎ.ที่ 613/2540
วินิจฉัยแนวเดียวกัน)
โดยได้กล่าวต่อไปว่าการกระทำดังกล่าวมิได้เป็นการกระทำที่ทำให้ธนาคารเสียหายด้วย
คำพิพากษาฎีกาที่
2379/2540 จำเลยเป็นพนักงานบัญชีของธนาคารพิมพ์ตัวเลขจำนวนเงิน
190,000 บาท ลงในช่องการ์ดบัญชี ซึ่งตนมีหน้าที่ควบคุมการ์ดดังกล่าว
แม้ความจริงจะไม่มีการนำเงินเข้าฝากเลยก็เป็นการลงข้อความอันเป็นเท็จ
ไม่ใช่เป็นการปลอมเอกสารเพราะไม่ได้ทำปลอมเอกสารอันแท้จริงของผู้ใด
- อ.จิตติ ติงศภัทิย์
อธิบายว่า คดีนี้
จำเลยมีหน้าที่กรอกจำนวนเงินในการ์ดเงินฝาก
แม้จำเลยจดจำนวนเงินเท็จลงไป
ก็เป็นเอกสารที่แสดงว่าจำเลยเป็นผู้กรอกข้อความ
ไม่ได้หลอกว่าเป็นเอกสารที่ผู้อื่นเป็นผู้ทำ
จึงเป็นเอกสารเท็จไม่ใช่เอกสารปลอม
เป็นการใช้เอกสารเท็จหลอกธนาคาร
แต่ผู้ทำเอกสารอาจปลอมเอกสารที่ตนมีหน้าที่ทำก็ได้
ถ้าเอกสารนั้นพ้นจากหน้าที่ที่ตนจะกรอกข้อความแล้ว
ยังไปแก้ไขหรือกรอกข้อความ
ทำให้เข้าใจว่ามีมาแต่เดิม
หรือทำขึ้นมาใหม่เพื่อให้เข้าใจว่าเป็นเอกสารอีกฉบับหนึ่ง
คำพิพากษาฎีกาที่
34/2491 เสมียนทำใบขายสินค้าเงินสด
ในหน้าที่แสดงว่ารับเงินสดแล้ว
แต่ความจริงเอาของไปขาย
เป็นแต่เพียงเอกสารเท็จ
ไม่เป็นปลอมเอกสาร
คำพิพากษาฎีกาที่
484/250 จำเลยเป็นผู้จัดการร้านขายรถจักรยาน
เขียนใบส่งสินค้าขึ้นเองหรือสั่งให้คนในร้านทำขึ้นตามหน้าที่ของผู้จัดการ
ไม่ได้ปลอมลายมือชื่อของผู้ใด
เพียงแต่จำเลยทำเป็นหนังสือของจำเลยเอง
อันมีข้อความเท็จเท่านั้น
จึงไม่ผิดฐานปลอมหนังสือ
คำพิพากษาฎีกาที่ 1343/2508 จำเลยทำบัญชีเท็จโดยไม่ลงรายการรับชำระหนี้ในบัญชีเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่มีข้อความเท็จ
บัญชีเหล่านั้นเป็นของจำเลยทำขึ้นเองทั้งฉบับ
ไม่ได้ปลอมเอกสารอันแท้จริงของผู้ใด
จึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
หรือใช้เอกสารปลอม
คำพิพากษาฎีกาที่ 7/2516
จำเลยเป็นกรรมการมัสยิด
ได้จัดทำบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ
เอกสารดังกล่าวจำเลยมีอำนาจกระทำได้
ไม่ผิดฐานปลอมเอกสาร
กลับไปหน้าเดิม
หน้าถัดไป
|